ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพช่างทองโบราณนั้นต้องมีความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง มีแรงจูงใจ และไม่ลืมพื้นฐานในการรักษาเอกลักษณ์ของลวดลายทองโบราณไว้ และยังต้องขวนขวายหาความรู้มีหูตากว้างไกล มีไหวพริบและความคิดพลิกแพลงเพื่อต่อยอดงานออกไปได้เรื่อยๆโดยสามารถคงเอกลักษณ์ของความเป็นทองโบราณไว้
คุณค่าทางศิลปะของทองโบราณนั้นอยู่ที่สุนทรียภาพของลวดลาย ความอ่อนช้อย ตามแบบสมัยโบราณ คุณลักษณะของงานทองโบราณคือเป็นงานหัตกรรมล้วนๆไม่ใช่งานที่ทำมาจากเครื่องจักร ตั้งแต่การคิดลาย การรีดเส้นทอง การขึ้นรูป การทำงานออกมาในแต่ละชิ้นต้องอาศัยความแม่นยำในการสร้างรูปทรงตามที่ได้กำหนดขึ้นมาให้เป็นไปตามนั้นให้ได้
ทองโบราณจึงมักมีคุณค่าทางใจต่อผู้ที่มีความชื่นชอบ หรือต้องการมีไว้ในครอบครอง ซึ่งเป็นผลมาจากการลงมือ ลงแรง การรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอาไว้ให้ได้ และการมีความคิดพลิกแพลงทำให้ชิ้นงานออกมาสวยงามร่วมสมัยโดยไม่ทิ้งความเป็นทองโบราณ
ลักษณะของทองคำและการนำมาใช้ทำงานทอง
ในสมัยโบราณนั้นพิจารณาเนื้อทอง และตั้งราคาทองตามคุณลักษณะของเนื้อทอง มีตั้งแต่ ทองเนื้อสี่ถึงทองเนื้อเก้า ตามประกาศของรัชกาลที่ ๔ เช่น ทองเนื้อหกคือ ทองหนัก ๑ บาท ราคา ๖ บาท ทองเนื้อเก้าคือ ทองหนัก ๑ บาท ราคา ๙ บาท
ทองเนื้อเก้าเป็นทองที่บริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เนื้อสุกปลั่งมีสีเหลืองอมแดง เป็นทองธรรมชาติ บางครั้งเรียกว่า ทองชมพูนุท หรือ ทองเนื้อแท้ นอกจากนี้ ในรัชกาลที่ ๔ ยังทรงกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย คือ
- ทองทศ มีค่าเท่ากับ ๑ ใน ๑๐ ของ ชั่ง หรือเท่ากับ ๘ บาท (๑ ชั่ง = ๘๐ บาท)
- ทองพิศ มีค่าเท่ากับ ๑ ใน ๒๐ ของชั่ง หรือเท่ากับ ๔ บาท
- ทองพัดดึงส์ มีค่าเท่ากับ ๑ ใน ๓๒ ของชั่ง หรือเท่ากับ ๒.๕๐ บาท
นอกจากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทองคำตามมูลค่าที่กำหนดโดยความบริสุทธิ์ของเนื้อทองแล้ว ยังได้กำหนดคุณสมบัติของเนื้อทอง โดยพิจารณาจากรูปลักษณ์ สี และวิธีที่จะนำทองนั้นมาใช้งาน หรือแปรรูปให้เหมาะกับงาน ชื่อที่นิยมเรียกกันคือ
๑. ทองดอกบวบ หรือทองคำที่มีสีดอกบวบ เป็นทองเนื้อหก ซึ่งเรียกกันตามความรู้สึกและสายตาที่เห็น นิยมนำมาทำเป็นภาชนะต่างๆและพระพุทธรูป
๒. ทองนพคุณ เป็นทองคำแท้ ทองคำบริสุทธิ์ หรือทองเนื้อเก้า
๓. ทองแล่ง เป็นทองคำที่นำมาแล่ง หรือทำเป็นเส้นลวดเล็กๆแล้วแต่จะนำไปใช้งานลักษณะใด เช่น งานสาน งานขัด หรืองานทอ หรือใช้ปักเครื่องนุ่งห่มที่ทำขึ้นพิเศษ หรือทำเป็นเครื่อง-ประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ มงกุฎ อาจใช้เป็นส่วนย่อยของเครื่องประดับชนิดต่างๆ หรือใช้คาดรัดร้อยยอดเจดีย์ที่ห่อหุ้มปลียอดด้วยทองคำ
๔. ทองแป คือ เหรียญทองในสมัยโบราณใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตรานำมาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าตามมูลค่าได้
๕. ทองใบ เป็นทองคำที่ตีแผ่เป็นแผ่นบางๆความหนาขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน จากนั้นนำไปตัดเป็นชิ้นๆเพื่อนำไปพับหรือม้วน บางครั้งก็เรียกว่า “ทองม้วน”
๖. ทองเค เดิมเป็นชื่อใช้เรียกทองคำเพื่อเป็นเกณฑ์วัดความบริสุทธิ์ โดยทอง ๒๔ กะรัต หรือ ๒๔ เค ถือเป็นทองคำแท้ ส่วนทอง ๑๔ เค หมายถึง ทองที่มีจำนวนเนื้อทองคำ ๑๔ กะรัต ที่เหลือ ๑๐ กะรัตจะมีเนื้อโลหะอื่นเจือปน ปัจจุบันคำนี้มักหมายถึง ทองที่มีเนื้อโลหะอื่นเจือปนอยู่หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ทองนอก”
๗. ทองคำเปลว เป็นทองคำที่ตี เป็นแผ่นบางมาก ใช้สำหรับปิดองค์พระพุทธรูปหรือนำไปทำงานหัตถกรรมชั้นสูง เช่น ตู้พระธรรม งานไม้แกะสลักลาย มีการลงรักแล้วนำทองคำเปลวไปปิด ซึ่งเรียกกันว่า “ลงรักปิดทอง”
๘. ทองรูปพรรณ คือ ทองคำที่นำมาเป็นเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู กำไล และแหวน
ทองรูปพรรณนี้เองเป็นที่มาของงานทองโบราณเป็นการทำเครื่องประดับที่มีลวดลายละเอียดอ่อน ขึ้นอยู่กับว่าช่างผู้ทำแต่ละคนจะมีความคิดสร้างสรรค์แบบชิ้นงานให้มีลวดลายออกมาเช่นใด ความประณีตของทองรูปพรรณซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับยอดฝีมือของประเทศไทยและถือเป็นเอกลักษณ์ของงานหัตถศิลป์ชั้นสูง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น