วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เจ้าของร้านตัดสูทผู้หญิงคนแรกในรอบ 280 ปี

 Gormley สาวน้อยวัย 23 ปี ดรอปเรียนเพื่อเอาเงินค่าเทอมมาสร้างร้านตัดสูทในกรุงลอนดอน และเป็นเจ้าของร้านตัดสูทผู้หญิงคนแรกในรอบ 280 ปี

By Kacharaj Wareesoonthorn

 20 November, 2017 

Phoebe Gormley เป็นผู้ประกอบการอายุน้อยผู้ก่อตั้งร้านตัดสูท Gormley & Gamble บนถนน Savile Row ในกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นถนนเส้นที่เก่าแก่และมีเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นที่รู้จักกันดีว่า ถนนเส้นนี้เป็นแหล่งรวมร้านตัดสูทคุณภาพเยี่ยมที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง และในประวัติศาสตร์ของถนนเส้นนี้ กว่า 280 ปี ยังไม่เคยมีผู้หญิงเป็นเจ้าของร้านตัดสูทเลยแม้แต่คนเดียว และ Phoebe Gormley สาวน้อยผู้นี้คิดอย่างไรถึงกล้าเปิดร้านตัดสูทในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในลอนดอน

Phoebe Gormley เกิดและเติบโตในย่านชนบทของอังกฤษ ในวัยเด็กเธอหลงใหลในการตัดเย็บ และเคยขอให้พ่อกับแม่ซื้อหุ่นสำหรับช่างตัดเสื้อให้ แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินมากพอ ดังนั้นเธอจึงดิ้นรนสร้างมันขึ้นมาเองจากลวดกรงไก่และการใช้เทคนิค เปเปอร์มาเช่ (การนำเอากระดาษมาแปะทับกันด้วยกาวหลาย ๆ ชั้น)

แล้ว Phoebe Gormley ก็เริ่มแสดงฝีมือให้พ่อกับแม่ได้เห็น เมื่อเธอเอาสูทของพ่อมาแก้ไขใหม่ โดยปรับลดขนาดลงแล้วเอามาใส่เอง ซึ่งขณะนั้นเธอเพิ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น

เมื่อ Phoebe Gormley อายุ 15 ปี เธอได้ไปสมัครทำงานเป็นช่างตัดเสื้อในร้านสูทบริเวณถนน Savile Row และ Jermyn Street ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านตัดสูทดัง ๆ มากมาย เธอคิดว่าเธอไม่ได้เรียนจบทางด้านตัดเย็บมาโดยตรง เธอต้องการประสบการณ์และการผ่านงานในร้านดัง ๆ จะช่วยการันตีฝีมือของเธอได้ในอนาคต นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และช่วงปิดเทอมทั้งหมด ไปกับร้านตัดสูท เธอทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

และด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจตัดสูทจนเหมือนเป็นลมหายใจเข้าออก Phoebe Gormley จึงต้องการจะเริ่มธุรกิจร้านตัดสูทของตนเองทันที โดยไม่รอให้เรียนจบแล้ว เพราะตอนนี้จิตใจทั้งหมดไปอยู่ที่ธุรกิจแล้ว เธอเริ่มเบื่อการเรียนและเห็นเป้าหมายเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่ใช่ใบปริญญา แต่เป็นการทำธุรกิจ

เธอรีบเขียนแผนธุรกิจแล้วนำไปเสนอกับพ่อแม่ของเธอ โดย Phoebe Gormley มีความต้องการที่จะเปิดร้านตัดสูทสำหรับผู้หญิงเท่านั้น และเป็นผู้หญิงระดับผู้บริหาร และจะจำหน่ายเฉพาะสินค้าไฮเอ็น เนื่องจากประสบการณ์ในการทำงานที่ร้านตัดสูท โดยเจ้าของร้านเคยสอนเธอว่า ลูกค้าผู้หญิงมักจะไม่พอใจอะไรง่าย ๆ และไม่ค่อยลงทุนกับชุดสูท ซึ่งเธอคิดว่ามันไม่จริง มันอาจจะจริงเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่จริง ผู้หญิงระดับผู้บริหารจำนวนมากต้องการชุดสูทที่ช่วยเสริมบุคลิก ที่มีคุณภาพดี และต้องการความสมบูรณ์แบบ

ในที่สุดพ่อกับแม่เห็นแก่ความมุ่งมั่นตั้งใจและเชื่อมั่นในฝีมือของ Phoebe Gormley จึงอนุมัติโครงการของเธอ โดยร่วมลงทุนเป็นเงินก้อนแรก จากค่าเล่าเรียนในเทอมถัดไป ที่เธอขอดร็อปเรียนไว้ตอนปี 2 และในขณะที่เริ่มเปิดร้าน Phoebe Gormley มีอายุเพียง 20 ปี

Image credit: redonline

Phoebe Gormley ต้องใช้เวลาถึง 4 เดือนในการปรับแต่งธุรกิจ เนื่องจากซัพพลายเออร์ในวงการตัดสูททั่วลอนดอน ไม่เคยทำงานร่วมกับผู้หญิงเลย

คำพูดจากลูกค้าช่วยให้ Phoebe Gormley ได้ทราบข้อมูลสำคัญ เช่น มีไซส์ของผู้หญิงไหม หรือ ฉันสูงเกินไปที่จะใส่ชุดสูทสำเร็จรูปของ Zara ซึ่งเธอจะเตรียมตัดสูทให้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่า เนื่องจากความสูงต่างกับผู้ชาย และผู้ชายไม่มีหน้าอก (ในส่วนนี้ ผู้หญิงจะวัดตัวตัดสูทยากกว่าผู้ชาย)

ลูกค้ารายแรกของ Gormley & Gamble คือ Jayne-Anna Gadhia ที่เป็นถึง CEO ของ Virgin Money เข้ามาที่ร้านและสั่งซื้อสินค้าถึง 12 รายการ ซึ่งจะเป็นเสื้อสูทสำหรับผุู้บริหารที่จะใส่ในแต่ละเดือน และ Phoebe Gormley สามารถจัดการมันได้เป็นอย่างดี

แล้วมันก็เหมือนกลิ้งหิมะลงจากภูเขา มันทับถมกันเรื่อย ๆ ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากลูกค้าคนแรก แล้วผู้บริหารสุภาพสตรีคนอื่น ๆ ก็ตามมา และชื่อเสียงก็แพร่ไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่เคยมีเจ้าของร้านและช่างตัดสูทที่เป็นผู้หญิงมาก่อน และผู้ชายก็จะไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่บางครั้งมีแต่ผู้หญิงเท่านั้นจะเข้าใจ” Gormley  กล่าว

“มีความเข้าใจผิดหลายอย่าง เช่น ที่ Savile Row รับตัดเฉพาะเสื้อแจ็คเก็ต สูทเท่านั้น ในความเป็นจริงเรารับตัดทั้งชุดรวมถึงกางเกงด้วย ฉันสามารถตัดเสื้อสูทให้มีความยาวพอเหมาะ เข้าได้กับกางเกงพอดี ซึ่งคุณจะได้ชุดที่มีความยาวแขนเสื้อที่พอดี และชายเสื้อเมื่อรวมความนูนของหน้าอกแล้วจะมีความยาวที่พอดี”

หลังจากเปิดร้านมา 3 ปี ในวันนี้เธอายุ 23 และได้เริ่มทำการระดมทุนครั้งแรก และเธอทำสำเร็จสามารถระดมทุนเพื่อเป็นทุนสำรองสำหรับตัดชุดได้ 5,000 ชิ้น และสามารถพัฒนาระบบเว็บไซต์ให้สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ โดยสามารถใช้ระบบวิดีโอ Facetime Fitting ซึ่งลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่หน้าร้าน

นิตยสาร Forbes ได้จัดให้เธออยู่ในรายชื่อ 30 Under 30 ของยุโรป ซึ่งนับเป็นผู้ประกอบการอายุน้อยที่มาแรงที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว

ทั้งหมดมาจากความใฝ่ฝัน ความชอบ ไปจนถึงความคลั่งไคล้ในการตัดเย็บ จนทำให้ Phoebe Gormley สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ จนก้าวมาเป็นเจ้าของร้านสูทผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของ Savile Row ได้อย่างงดงาม โดยทุกวันนี้ธุรกิจของเธอยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นที่รู้จักของผู้บริหารหญิงในระดับสูง และคนดังต่าง ๆ มากมาย และเป็นร้านที่มีชื่อเสียงมากในลอนดอน ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น

Resources:

forbes.comwww.huffingtonpost.co.ukwww.countryandtownhouse.co.uktheguardian.comgormleyandgamble.com

Emily Weiss จากบิวตี้บล็อกเกอร์ สู่เจ้าของแบรนด์ Glossier ธุรกิจเครื่องสำอางร้อยล้าน

Emily Weiss จากบิวตี้บล็อกเกอร์ สู่เจ้าของแบรนด์ Glossier ธุรกิจเครื่องสำอางร้อยล้าน

By Kacharaj Wareesoonthorn

 19 November, 2017 

Emily Weiss จากเด็กฝึกงานใน Vogue สู่บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง และกลายมาเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางที่สาว ๆ อเมริกาคลั่งไคล้ในเวลาอันรวดเร็ว เส้นทางของบิวตี้บล็อกเกอร์สู่เศรษฐีเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางอายุน้อย เบื้องหลังความสำเร็จนี้คืออะไร ทำไมเพียงแค่เปิดตัวลิปสติก ก็มีคนมารอซื้อใน waitlist ถึง 10,000 คน ร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมๆกัน กับ Emily Weiss CEO และผู้ก่อตั้ง Glossier บริษัทสตาร์ทอัพ ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางแบรนด์ Glossier

ฝึกงานกับ Vogue ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

Emily Weiss เติบโตมาจาก รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา และด้วยความสนใจในด้านแฟชั่น เธอจึงย้ายไปอยู่ที่ นิวยอร์กซิตี้ และได้เข้าเรียนใน New York University Art School (NYU) ในระหว่างที่เธอเรียนอยู่ปี 2 เธอก็ได้สมัครเป็นนักศึกษาฝึกงานในโครงการ “Teen Vogue” โดยฝึกงานจนถึงปี 4 และหลังจากเรียนจบ Emily Weiss ได้เข้าทำงานในนิตยสาร W MAGAZINE ต่อมาเธอได้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยของ Elissa Santisi ซึ่งเป็น style director ของนิตยสาร American Vogue และในอีก 2 ปี ถัดมาเธอกลายเป็นนักออกแบบอิสระ

กำเนิด Into The GlossImage credit: huffingtonpost

ในปี 2010 Emily Weiss ได้เริ่มก่อตั้งเว็บไซต์ intothegloss.com โดยมุ่งเน้นหัวข้อการเขียนไปที่หมวดหมู่สินค้าเกี่ยวกับความงาม ซึ่งในตอนแรกที่เปิดเว็บไซต์นั้น Weiss ต้องอาศัยเวลาหลังเลิกงานในการเขียนบล็อก คือตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง 7 โมงเช้า โดย Emily Weiss มีโอกาสได้สัมภาษณ์หญิงสาวคนดังมากมาย เช่น Kim Kardashian จนถึงคนแต่งแต่งหน้าอย่าง Bobbi Brown และ Karlie Kloss โดยไฮไลท์ของการสัมภาษณ์คือ การเยี่ยมชม “Top shelves” ที่อยู่ในห้องอาบน้ำ และดูกิจวัตรประจำวันของเราคนดัง

บล็อกเติบโตอย่างรวดเร็ว

บล็อกของ Emily Weiss ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับนิตยสารสำหรับผู้หญิงดัง ๆ แต่ Emily Weiss ต้องการเพียงส่งมอบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ด้านความงาม และประสบการณ์ของผู้ใช้ในแต่ละสภาพผิวที่แตกต่างกันเท่านั้น และนั่นเองก็ยิ่งทำให้บล็อกของเธอได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก ซึ่งจากการเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้เธอไม่สามารถทำมันด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป เธอเริ่มจ้างคนเพื่อสร้างทีมสำหรับ intothegloss.com ในการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์

ซึ่งเมื่อเว็บไซต์มีคนเข้าชมจำนวนมาก และได้รับความนิยมอย่างสูง รายได้ก็ตามมาเอง มีสปอนเซอร์แบรนด์ดังมากมาย เข้ามาซื้อโฆษณาในเว็บบล็อกของเธอ และจากจุดนี้เอง Emily Weiss มีความคิดว่าเธอน่าจะทำรายได้ได้มากกว่านี้ จากจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ

โดยในปัจจุบันนี้ เว็บไซต์ intothegloss.com ของเธอมีผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันมากถึง 1.5 ล้านคนต่อเดือน และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน Instagram ของ Emily Weiss ก็มีผู้ติดตามมากถึง 3 แสนคน ทำให้เธอมีช่องทางสื่อสารกับลูกค้าอย่างมากมาย

Emily Weiss เริ่มทำแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองImage credit: time

ในปี 2013 Emily Weiss เริ่มมีแนวความคิดในการสร้างแบรนด์ตัวเองชื่อว่า Glossier และในช่วงปลายปี 2013 Emily Weiss ระดมทุนได้ $2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเธอนำไปพัฒนาเว็บไซต์ intothegloss.com และในปี 2014 Emily Weiss ได้เปิดตัวแบรนด์ Glossier ใน Instagram และเว็บไซต์ intothegloss.com โดยเปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งหมด 4 ไอเท็ม หลังจากนั้น 5 ปี ต่อมา Emily Weiss ระดมทุนได้อีกครั้ง มูลค่า $10.4 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นสตาร์ทอัพในซีรีส์ A มีทีมงาน 38 คน และผลิตภัณฑ์ ทั้งหมด 7 ไอเท็ม

เบื้องหลังความสำเร็จของ Emily Weiss

เส้นทางของ Emily Weiss อาจจะดูเหมือนเรียบง่าย สำเร็จเร็ว แต่ในความเร็วนั้นมาจากการมุ่งมั่นและแน่วแน่ในจุดหมาย เธอมีความสนใจในด้านแฟชั่นดีไซน์ และรู้ดีว่าต้องไปเรียนต่อที่ไหนในอเมริกา และในระหว่างเรียน ด้วยชื่อของมหาวิทยลัย NYU ทำให้เธอสามารถเข้าฝึกงานกับนิตยสาร Vogue ได้ ซึ่งการฝึกงานอยู่ถึง 2 ปี ขยายคอนเนคชั่นของเธอให้กว้างขึ้น ระหว่างนั้นเธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในวงการแฟชั่น และยังล้วงลึกไปในวงการความงาม จนสามารถเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้ และในตอนเริ่มต้นเขียนบล็อกนั้นก็แทบจะไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว

สิ่งสำคัญก่อนที่จะเปิดตัวแบรนด์คืออะไร?

Emily Weiss ได้เขียนบล็อกที่ให้ความรู้ เทคนิคต่าง ๆ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่สนใจ และติดตามเฝ้ารอว่า Emily Weiss จะมาแนะนำอะไรดี ๆ ให้อีก จนเกิดเป็นความเชื่อมั่น ในตัวผู้เขียน สิ่งนี้เองเป็นการสร้างสาวก และสาวกของ Emily Weiss มีมากถึง 1 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนสินค้าอะไรก็ตามที่มาเป็นสปอนเซอร์ก็จะขายดิบขายดี และในจังหวะนี้เอง คือช่วงเวลาที่ควรจะเปิดตัวแบรนด์ของตนเอง ซึ่งหากเอาตัวเลขผู้ติดตาม และผู้เข้าชมเว็บไซต์รวมถึงรายได้จากสปอนเซอร์ ไปพูดคุยกับนักลงทุน ก็มั่นใจได้เลยว่าจะได้รับการตอบรับร่วมลงทุนอย่างแน่นอน

โดย Emily Weiss เปิดตัวลิปสติกครั้งแรก ก็มีลูกค้ามาซื้อจนหมดลงอย่างรวดเร็ว แต่นั่นยังไม่พอ เพราะคนที่พลาด ซื้อไม่ทันนั้น ได้กดเข้าร่วมใน waitlist หรือแสดงความต้องการรอซื้อสินค้าชิ้นนี้ มากถึง 10,000 คน นี่คือพลังอำนาจของการใช้สื่อออนไลน์ของ Emily Weiss ที่มีการปูทางและวางแผนมาอย่างดี

Emily Weiss ถูกจัดอันดับในรายชื่อ 30 Under 30 ของนิตยสาร Forbes และเป็น All Star ของ 30 Under 30 ด้วย แม้ขณะนี้ Emily Weiss จะอายุ 32 ปี แล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

Image credit: forbes

การที่จะเป็นแบรนด์ที่ยอดเยี่ยมได้นั้น คุณต้องสร้างและพัฒนาสินค้าที่ยอดเยี่ยมเสียก่อน เพราะการที่แบรนด์ของคุณมีสินค้าที่ยอดเยี่ยม จะทำให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

– EMILY WEISS –

Resources:

forbes.comforbes.comforbes.comglamobserver.comentrepreneur.wikieveripedia.orgbusinessinsider.comintothegloss.comglossier.cominstagram.cominstagram.com

อยากรวยจากการส่งออกต้องรู้ ส่อง 5 แนวโน้ม ผู้บริโภคของจีนในปี 2018

อยากรวยจากการส่งออกต้องรู้ ส่อง 5 แนวโน้ม ผู้บริโภคของจีนในปี 2018

By Kacharaj Wareesoonthorn

 20 November, 2017 

Mintel (มินเทล) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยผลิตภัณฑ์ ตลาดผู้บริโภคและสื่อ มากกว่า 40 ปี คาดการณ์เทรนด์ผู้บริโภคจีนในปี 2018 ไว้ดังนี้

Machine learning และ Ai ผู้บริโภคจะเริ่มทำความรู้จักและคุ้นกับระบบแมชชีนเลิร์นนิ่งและ Ai ที่เครื่องจักรและโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อตอบสนองการใช้งาน ให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยทั้งปัญญาประดิษฐ์ หรือ Ai จะมีการเรียนรู้และจดจำด้วยระบบแมชชีนเลิร์นนิ่ง ที่จะสามารถพัฒนาความรู้ของตนเองต่อไปได้

ความตึงเครียดทางสังคม ผู้บริโภควัยหนุ่มสาว หรือคนรุ่นใหม่ จะแสวงหาวิธีรับมือจากความเครียด จากความกดดันในสังคมที่พวกเขาได้รับในชีวิตประจำวัน โดยต้องมีการโต้ตอบที่สนุกสนานและแปลกใหม่

ย้อนกลับสู่วัฒนธรรมดั้งเดิม ปัจจัยเรื่องชาตินิยมยังเป็นปัจจัยสำคัญ แบรนด์ใดที่ยึดหลักปรัชญาแบบดั้งเดิมของจีน หรือชูจุดเด่นด้านวัฒนธรรมและประเพณีเก่าแก่ เช่นการออกกำลังกายหรือความงดงามทางศิลปะ โดยสื่อสารมาในตัวผลิตภัณฑ์ หรือข้อความทางการตลาดได้ จะประสบความสำเร็จ

ความต้องการมีส่วนร่วม ผู้บริโภคจะต้องการแสดงตัวตน และอยากมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น แบรนด์ควรจะมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือให้ผู้บริโภคสามารถแสดงตัวตนและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หรือกระตุ้นให้เกิดการแสดงออกให้มากยิ่งขึ้น

โมบายเป็นหลัก ผู้บริโภคจะปฏิเสธแบรนด์ที่ไม่เสนอทางเลือกการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ เพราะตอนนี้ผู้บริโภคนิยมทำทุกสิ่งทุกอย่างผ่านสมาร์ทโฟน หากแบรนด์ไหนยังไม่รองรับกิจกรรมบนมือถือก็ประสบความสำเร็จได้ยาก

แนวโน้มที่ 1 – ชาวจีนส่วนใหญ่ชื่นชอบระบบ Ai

Delon Wang ผู้จัดการด้านแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Mintel กล่าวว่า ผุู้บริโภคชาวจีนกำลังให้ความสนใจในการเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องจักรและระบบ Ai ต่าง ๆ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านบวก จากการวิจัยของ Mintel พบว่า ชาวจีนร้อยละ 46 (อายุระหว่าง 20-49 ปี) จะสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลของตนเอง เช่นนิสัยในการใช้ชีวิตประจำวัน การเดินทางต่าง ๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พวกเขาชื่นชมในพลังของเทคโนโลยีในการติดตาม วิเคราะห์ และรายงานผล

“เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับบุคลิกภาพและความชอบเฉพาะบุคคลเพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานของตนเองขึ้นมาได้”

“ผู้บริโภคมักจะเลือกที่จะเรียนรู้เทคโนโลยี ถ้ามันจะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะความต้องการในการใช้ชีวิตที่ราบรื่นเป็นความต้องการที่เป็นสากล เราจะเห็นได้ว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้การทำงานและวิธีใช้เครื่องจักรหรือโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนให้พวกเขาสามารถออกแบบระบบที่เป็นส่วนตัวเฉพาะของพวกขาได้มากยิ่งขึ้นผ่านระบบ Ai ที่เรียนรู้ในหลายเดือนอย่างต่อเนื่องจนเป็นปีได้”

แนวโน้มที่ 2 – เล่นกับแรงกดดัน

Matthew Crabbe ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำเอเชียแปซิฟิคของ Mintel กล่าวว่า จากสภาวะการกดดันทางสังคมที่เพิ่มขึ้นสูงเรื่อย ๆ กำลังขับเคลื่อนให้คนวัยหนุ่มสาวต้องการ การตอบโต้ที่ไม่เป็นทางการและมีชีวิตชีวามากขึ้นทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน

“ไม่เฉพาะในโลกดิจิตอลเท่านั้น พวกเขายังต้องการการตอบสนองบนโลกจริงที่ไม่เป็นทางการ มีความสนุกสนาน ผ่อนคลายและเป็นกันเอง เพื่อความผ่อนคลายของพวกเขา เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันมีความกดดันมากขึ้น”

และหากไม่มีการตอบสนองที่ต้องการจากโลกจริง คนเหล่านี้ก็จะหลบหนีไปยังโลกเสมือน จากการวิจัยของ Mintel พบว่า ร้อยละ 63 ของคนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 20-24 ปี นิยมเล่นเกมออนไลน์เพื่อลดความเครียด

ซึ่งในจุดนี้จะเป็นโอกาสให้กับนักการตลาดอีกมากมาย หากเราเข้าใจคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง

แนวโน้มที่ 3 – ชีวิตที่สมดุล

Matthew Crabbe กล่าวต่อว่า ผู้บริโภคชาวจีนเริ่มใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น พอ ๆ กับใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วย และมีความต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้นจากแบรนด์ที่ตนเองใช้

โดยในปีหน้านี้ผู้บริโภคจะจัดลำดับความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี ที่จะสามารถส่งมอบประโยชน์ที่มากกว่าประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาเอง ซึ่งนอกจากต้องทำให้สุขภาพดีขึ้นแล้วยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย และยังต้องเป็นแบรนด์ที่มีจริยธรรมอีกด้วย ซึ่งแบรนด์ต้องพยายามสื่อสารออกมาให้เป็นรูปธรรมให้ได้

แนวโน้มที่ 4 – ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง

Joyce Lam นักวิเคราะห์แนวโน้มเอเชียแปซิฟิกของ Mintel กล่าวว่า “ผู้บริโภคจะมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับแบรนด์ที่จะตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลให้ได้”

“ผู้บริโภคชาวจีนเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น พวกเขาเลือกการทำงานที่ยืดหยุ่นและเดินทางไปในสถานที่ที่แปลกใหม่ โดยร้อยละ 41 ของวัยรุ่นกล่าวว่าพวกเขาต้องการเดินทางไปในที่ที่แปลกใหม่ตลอดเวลา ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเร่งกระบวนการนี้ให้เร็วขึ้น พวกเขาสามารถขยายขอบเขตได้มากขึ้นในการสำรวจหรือแสดงตัวตนของตนเอง”

ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เขามีอำนาจในการเลือกมากขึ้นเช่นกัน พวกเขาจะเลือกแบรนด์ที่สามารถทำให้เขาแสดงตัวตนของเขาจริง ๆ ออกมา มากกว่าแบรนด์ที่แสดงความเป็นตัวตนของคนจากทั่วโลก(ซึ่งเหมือน ๆ กันไปหมด)

แนวโน้มที่ 5 – ทุกสิ่งที่ต้องการอยู่บนมือถือ

Delon Wang กล่าวว่า ด้วยความรวดเร็วของโมบายอินเทอร์เน็ต และความสะดวกสบายในการใช้งาน ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนผูกทุกอย่างในชีวิตประจำวันเข้าไว้กับโทรศัพท์มือถือ จากการวิจัยของ Mintel ระบุว่า ร้อยละ 87 ของผู้บริโภคชาวจีนใช้วิธีการชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69 ในปี 2016 ที่ผ่านมา

“ผู้บริโภคชาวจีนได้เรียนรู้และมีประสบการณ์การใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือจนชำนาญแล้ว ในปีต่อไปแบรนด์ต้องตอบสนองและให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแบรนด์จากโทรศัพท์มือถือได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ระบบ AR และ VR ด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผุ้บริโภคได้อย่างมาก”

กล่าวโดยสรุปคือ

แบรนด์ควรศึกษาแนวโน้มทั้ง 5 ข้อ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เข้าใจเทคโนโลยี และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงมีความต้องการที่เป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการรักษาวัฒนธรรมและจริยธรรมไว้อย่างเหนียวแน่นด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องรองรับโมบาย ใช้งานง่ายบนมือถือ และสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไม่น่าเบื่ออยู่เสมอ ๆ

และหากคุณชอบใน Content ที่ทาง CEO Blog ได้นำเสนอ ในเร็ว ๆ นี้ ทาง CEO Blog ของเรานั้น กำลังจะมีโปรเจค CEO Premium Content ซึ่งเป็น Content ด้านการค้าปลีกออนไลน์ แบบพรีเมี่ยม ที่หาอ่านไม่ได้บน Blog ปกติของ CEO Blog โดยจะเปิดรับสมัครสมาชิกพรีเมี่ยมในเร็ว ๆ นี้

หากคุณไม่อยากพลาด Content ระดับ Premium สามารถลงทะเบียนเพื่อรับแจ้งข่าวสารได้ที่นี่ก่อนใครเลยครับ รับรองได้เลยว่ามันเป็น Content ระดับพรีเมี่ยมในราคาที่คุ้มสุด ๆ อย่างแน่นอน >>> ลงทะเบียนรับข่าวสารที่นี่ก่อนใคร

Resource:

insideretail.asia

สิ่งที่ “ผู้นำ” ทำแล้วมีเสน่ห์

 สิ่งที่ “ผู้นำ” ทำแล้วมีเสน่ห์

 29 ตุลาคม 2017 เวลา 08:59 น.

เป็นผู้นำที่ “ไว้ใจได้” พูดคำไหนคำนั้น พูดอย่างไรทำอย่างนั้น “ไม่ขี้ลืม”

ไม่ว่าจะเป็นผู้นำครอบครัว หรือผู้นำองค์กร “เสน่ห์ของผู้นำ” มีความสำคัญมาก เพราะอดีตเราเอาชนะกันด้วยกำลัง แต่ปัจจุบันเราเอาชนะกันด้วยเสน่ห์ ที่ดึงดูดให้คนอยากทำตาม ซึ่งการจะมีเสน่ห์ดึงดูดผู้อื่นได้ต้องมีบุคลิกภาพที่ดี และนี่คือบุคลิกที่ “ผู้นำ” ควรมี

เสน่ห์ภายใน

เป็นผู้นำที่ “ไว้ใจได้” พูดคำไหนคำนั้น พูดอย่างไรทำอย่างนั้น “ไม่ขี้ลืม”เป็นผู้นำที่ “ซื่อสัตย์” การโกหก หรือการสร้างภาพ จะทำให้เรามีเสน่ห์แค่ชั่วคราว และเมื่อถูกจับได้จะทำให้เสน่ห์นั้นหายไปจนหมดในครั้งเดียว

เสน่ห์ภายนอก

คนเราจะชอบอยู่ใกล้หรือเดินตามคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ และพึ่งพาได้ จงแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเรามีความสามารถ และความสามารถของเรามีประโยชน์ต่อชีวิตของเขา อย่างจริงใจ เช่น มีลูกน้องมาบ่นปัญหาให้เราฟัง เราเก็บปัญหาของเขามาคิด เอาใจเขามาใส่ใจเรา หาวิธีการแก้ปัญหา และสามารถแก้ปัญหาให้เขาได้รูปลักษณ์ภายนอก และทักษะการพูดสำคัญมาก น้ำเสียงก็สำคัญไม่แพ้กัน“ไม่นินทาลับหลัง” คือ สามารถพูดลับหลังในเชิงวิเคราะห์ได้ แต่ไม่ควรวิจารณ์มีความเป็นผู้ใหญ่ (ไม่เกี่ยวกับวัยวุฒิ) คือ หาทางแก้ไข มากกว่าหาทางแก้ตัว หาทางออก มากกว่าหาข้ออ้าง และหาสิ่งที่ถูก มากกว่าหาคนที่ผิด

คนเราจะรู้สึกว่าอีกคนมีเสน่ห์ ก็เพราะคนนั้นตอบโจทย์เราและ 6 สิ่งนี้คือคำตอบของโจทย์ที่คนส่วนมากกำลังมองหา

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร นักจิตวิทยาพัฒนาสมอง