วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

5 เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ให้ผลลัพธ์แบบมหาศาล

5 เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ให้ผลลัพธ์แบบมหาศาล
26 กุมภาพันธ์ 2017 เวลา 05:00 น.

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากถ้าเราสังเกตดูดี ๆ พวกเค้าจะมีนิสัยเหมือนกัน มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน ซึ่งต่อให้เค้าเหล่านั้นจะแตกต่างกันมากแค่ไหน แต่นิสัยหลัก ๆ 5 ข้อนี้รับประกันได้เลยว่าเหมือนกันแน่นอน เพราะมันเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ยังไงล่ะครับ
เพราะการทำธุรกิจไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ภายในวันสองวันซะเมื่อไหร่ ดังนั้นคุณจะเห็นคนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้ามากมายยึดมั่นถือมั่น และปฏิบัติตามกฎที่เค้าตั้งไว้อย่างเคร่งครัด จนติดเป็นนิสัย ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันช่วยให้ประสบความสำเร็จได้จริง ไม่เพียงแค่กับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แม้แต่สตาร์ทอัพ หรือ  SME ถ้าเอาเทคนิคนี้ไปทำตาม ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ต่างกันเลยล่ะครับ

1. ทำงานให้หนักและนานกว่าคนอื่น ที่สำคัญต้องสนุกไปกับมันด้วย
นิสัยแรกสุดที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำอะไรก็ตามให้ประสบความสำเร็จก็คือ การใช้เวลากับมันให้นานที่สุด คลุกคลีอยู่กับสิ่งนั้นทั้งวัน ทุกวัน แต่ไม่ใช่แค่นั่งเล่น นอนเล่นเฉย ๆ แล้วความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้นะ คุณต้องโฟกัสและทำงานตรงหน้า แก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น และมองหาช่องทางพัฒนา หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ทำทุกอย่างที่ต้องทำ ซึ่งถ้าคุณเริ่มต้นด้วยนิสัยนี้ได้เนี่ย คุณก็เท่ากับเข้าใกล้ความสำเร็จไปหนึ่งขั้นแล้ว

2. หาคอนเนคชั่นอยู่ตลอดเวลา
จำเอาไว้เลยนะครับว่าคอนเนคขั่นเนี่ยสำคัญสุด ๆ ในการทำธุรกิจ เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าวันไหนคุณจะไปจ๊ะเอ๋กับปัญหาเข้า หรือใครจะสามารถช่วยคุณในเรื่องไหนได้บ้าง ดังนั้นนี่จึงเป็นนิสัยที่คนประสบความสำเร็จเค้าชอบทำกัน นั่นก็คือการแลกไลน์ แลกเบอร์ แลกเฟซบุ๊คกันไว้ตลอด ไม่ว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่น งานแต่งเพื่อน งานธุรกิจ งานสัมมนา คือมันไม่มีผิดมีถูกครับเรื่องการหาคอนเนคชั่น คุณสามารถทำได้ตลอดเวลา ทุกที่เลยด้วยซ้ำ เพราะอีกฝั่งหนึ่งเค้าก็อยากจะหาคอนเนคชั่นให้กับตัวเค้าเองเช่นกัน

3. ขี้สงสัย และช่างถาม
หนึ่งในนิสัยที่เราจะเห็นได้ในคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนก็คือ ความขี้สงสัย และไม่อายที่จะถามออกไปตรง ๆ นี่แหละครับ เค้ามักจะสงสัยว่าอะไรทำงานยังไง คนนั้นคนนี้คิดแบบไหน ซึ่งก็เข้าใจครับว่ามันขัดกับนิสัยของคนไทยที่ช่างนอบน้อม เจี๊ยมเจี้ยม ขี้อาย ไม่กล้าเป็นจุดเด่นซะจริง ๆ แต่เพราะมีคนทำได้น้อยไงครับ คนที่กล้าถามจึงโดดเด่นขึ้นมา และเมื่อคุณทำมันจนติดเป็นนิสัยแล้วเนี่ย มันจะทำให้คุณได้ความรู้ และประโยชน์อะไรต่าง ๆ มากมายจากสิ่งรอบตัว จนคุณเอาไปต่อยอดกับธุรกิจทุกอย่างได้อีกเยอะเลยล่ะ

4. ชอบรู้ฟีดแบค เพื่อพัฒนาตัวเอง
ถ้าให้พูดกันตามความจริงเลย คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง และกล้าลงมือทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเค้าจะไม่ฟังความคิดเห็นใครเลยซะทีเดียว เค้ากลับชอบซะอีกที่จะได้ยินในสิ่งที่เป็นความจริงในมุมที่เค้าไม่เคยนึกถึงมาก่อน เพราะส่วนมากคนพวกนี้จะถูกล้อมรอบไปด้วยคนที่คอยเยินยอ คอยชม ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้เค้าได้รับอะไรที่แปลกใหม่เท่าไหร่ การมีนิสัยแบบนี้จะช่วยให้คุณรู้จุดอ่อนของตัวเองอยู่เสมอ และปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ทันท่วงที ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โต

5. อยู่ท่ามกลางคนที่คิดบวก
นิสัยข้อนี้อาจทำยากสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าคนรอบตัวเราเป็นคนที่ค่อนข้างคิดลบแล้วเนี่ย ยังไงมันก็คงหนีไม่พ้นที่จะคลุกคลีด้วยแล้วรับเอาความคิดพวกนั้นมาอยู่ดี แต่อย่างน้อย ๆ ก็ให้เราเลือกกลุ่ม เลือกเพื่อน เลือกสถานที่ที่เราจะไป ให้มีแต่คนที่คิดบวก คิดสร้างสรรค์ คุยกับคนที่มีหัวคิดแบบเดียวกัน เข้าใจกัน เพราะนิสัยตรงนี้จะช่วยเปิดโลกของคุณให้กว้างขึ้นเยอะมาก มันทำให้รู้ได้เลยว่าโลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเต็มไปหมด แถมเวลาที่คุณหมดไฟ การได้อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดที่คุณคิดไม่ถึงเลยล่ะครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝังพลอยในเทียน...เรียนเพื่อเพิ่มโอกาส

คอร์สพิเศษ. ฝังพลอยในเทียน
1)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลา5,000บาท/วัน
2)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลาเวลา. เน้นบริหารทั้งระบบ55,000บาท/3วัน
3)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลาเวลา. เน้นบริหารทั้งระบบ95,000บาท/5วัน

### สนใจให้ยืนยันก่อนเรียน 3 วัน นะครับ
เรียนวันอาทิตย์ 9.00-17.00น. หรือวันจันทร์
เราสอนถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม
สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ
สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก
สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ
ที่ปรึกษาและฝึกอบรม ทั่วประเทศ
http://gggschool.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemssan
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร 74130

ฝันให้ไกล..ยิ่งเดินได้ไกล

ระยะเวลาที่เรียนหนังสือ..(.?..ปี)..ทำงาน(..?..).ดำเนินชีวิต...แล้วข้างหน้าคงเกษียร(ตอนไหน?)
ความฝันให้ไกล..แล้วเริ่มทำ...ทำได้..ได้ทำ..ทำเรื่อยๆ..ทำไป..แล้วตอนเกษียร..จะอีก(...?.)
(..?.)...จะอีกไกล...จะไกล..เริ่มเข้าใกล้...ยิ่งเดินได้ไกล..สมใจอยาก(ดีใจด้วย)

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

5 ความกล้าที่ผู้นำทุกคนต้องมี : ดร.พยัต วุฒิรงค์

5 ความกล้าที่ผู้นำทุกคนต้องมี : ดร.พยัต วุฒิรงค์

การทำงานในหน่วยงานเดียวกันให้สำเร็จก็ว่ายากแล้ว การทำงานที่ต้องใช้หลายหน่วยงาน หลากหลายศาสตร์มาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า ยิ่งยากขึ้น

หลายๆ หน่วยงานในประเทศไทยอยากเป็นองค์กรนวัตกรรม (Innovative Organization)

หลายๆ องค์กรอยากให้คนในองค์กรมีหัวใจแห่งความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Organization)

แต่หลายๆ องค์กรยังไม่เข้าใจหรือยังไม่มี DNA เด่นในการสร้างนวัตกรรมหรือหัวใจแห่งความเป็นผู้ประกอบการ

เมื่อไม่มีแก่น ความยั่งยืนก็ไม่มีทางเกิดได้
แก่นในที่นี้เริ่มต้นจากผู้นำขององค์กร

ผู้นำองค์กรที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้นต้องมี DNA เด่นของการประสบความสำเร็จ อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้นำ 5 กล้า มีความกล้า 5 อย่าง

ผู้นำต้องกล้าคิดในสิ่งที่ดี แตกต่างและท้าทาย
ผู้นำต้องสามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในองค์กรให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นได้ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องมีฝัน ฝันที่จะเห็นองค์กรของตัวเองเป็นอย่างไรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า และผู้นำต้องประกาศความฝันนั้นให้ทุกคนในองค์กรรู้เหมือนๆ กัน เรียกได้ว่าต้องกล้าคิดในสิ่งที่ดี แตกต่างและท้าทายความสามารถของตัวเอง คนในองค์กรเพื่อทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริง

ผู้นำต้องกล้าลงมือทำในสิ่งคิด
ผู้นำบางคนชอบคิด แต่พอจะทำกลับไม่กล้า สิ่งที่คิดจึงไม่ถูกผลักดันไปสู่การลงทำจริง การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องคิดและทำเสมอ เวลาองค์กรประกาศจะทำอะไรซักอย่าง สิ่งที่ทุกองค์กรเป็นเหมือนกันหมดคือ พนักงานทุกคนจะหันไปมองผู้นำก่อน ถ้าผู้นำเริ่ม พนักงานจะเริ่ม ถ้าผู้นำอยู่เฉยๆ พนักงานก็จะอยู่เฉยๆ เป็นเรื่องปกติ ถ้าใครลงมือทำโดยที่ผู้นำไม่สนใจก็คงได้ทำงานฟรี เสียเวลาเปล่า ผู้นำจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการลงมือทำ หรือที่ฝรั่งเค้ามักใช้คำว่า “เป็น Role Model” ของน้องๆ องค์กรถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

ผู้นำต้องกล้าพูดความจริง
หลายครั้งที่ผู้นำคิดและทำได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาผู้นำกลับเงียบ ไม่กล้าพูดความจริงออกมา ทำให้พนักงานขาดศรัทธาจากผู้นำ ผู้นำองค์กรจึงต้องเป็นคนที่รับทั้งผิดและรับทั้งชอบ ภาษาไทยจึงใช้คำว่า ต้องมี “ความรับผิดชอบ” บางองค์กรต้องการการเปลี่ยนแปลง ถ้าประสบความสำเร็จด้วยดี ชั้นรับ แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ชั้นขอชิ่งไปก่อนหล่ะ อันนี้ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อไหร่ องค์กรนั้นนอกจากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว พนักงานจะเกิดอาการกลัวความเปลี่ยนแปลงโดยปริยาย

ผู้นำต้องกล้าสร้างความฮึกเหิมทีมงาน
ผู้นำหลายคน นอกจากไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ แล้วยังไม่กล้าเป็นศูนย์รวมจิตใจของทีมงาน บางคนไม่กล้าสร้างความฮึกเหิม บางคนไม่รู้ว่าการสร้างความฮึกเหิมทำอย่างไร ต้องไปเรียนรู้ครับ ในภาวะที่ต้องการเปลี่ยน เปลี่ยนให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น หรือกำลังต่อสู้กับภาวะขาดทุนใกล้ล้มละลาย ถ้าทีมงานไม่มีเป้าหมายเดียวกันกับผู้นำ ไม่มีส่วนร่วมกับความสำเร็จที่ฝันไว้ คงไม่มีทางไปถึงจุดหมายได้ หรือถ้าได้ก็คงใช้เวลายาวนานหลายปี ถึงเวลานั้นองค์กรอาจไม่รอดถึงวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

ผู้นำต้องกล้าสนับสนุนให้ทีมงานเสนอความคิดเห็นและลงมือทำ
โลกเปลี่ยนเร็ว หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ไม่อย่างนั้นจะมีลูกน้องไว้ทำอะไร ผู้นำจึงต้องกล้าสนับสนุนให้ลูกน้องกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าถาม กล้าปรึกษา กล้าที่จะโง่ ผู้นำต้องกล้าที่จะเปิดโอกาสให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ว่าจะกระตุ้น สนับสนุน ให้กำลังใจ หรืออำนวยความสะดวกต่างๆ ก็แล้วแต่ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

เมื่อผู้นำมี DNA เด่น หรือเป็นผู้นำ 5 กล้าแล้ว เป้าหมายจะเหนื่อยยากแค่ไหน โอกาสประสบความสำเร็จก็มีอยู่เสมอ

ผู้นำที่จะส่งสารที่ดีไปถึงทีมงานได้นั้น ต้องเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำที่นำคน นำทีมและนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ

ยิ่งถ้าเราต้องการทำสิ่งใหม่ สิ่งที่แตกต่าง และสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือหลายคนเรียกมันว่า นวัตกรรม ยิ่งต้องมีความเป็นผู้นำ 5 กล้ามากขึ้นไปอีก

*** การทำสิ่งใหม่ที่แตกต่าง หรือนวัตกรรมนั้นโดยทั่วไปจะทำได้ใน 2 ระดับ

การสร้างสิ่งใหม่ แตกต่างให้เกิดขึ้นทั้งองค์กร
ทำให้คนทุกคนหันมาช่วยกันผลักดัน กระตุ้น สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมทั้งองค์กร หรือ ใครๆ ก็คิดอะไรใหม่ๆ ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือที่ SCG บริษัทที่ผมอยู่มาเกือบ 20 ปี เป็นองค์กรที่ตั้งใจทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นกับพนักงานทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่อยู่ในหน่วยงานวิจัยเท่านั้น

การผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่กับทุกคนในองค์กร ต้องเริ่มจากการสร้างผู้นำที่ใช่!!! ผู้นำ 5 กล้า!!! เพื่อนำไปสู่การวางกลยุทธ์ที่ดี การจัดการความรู้ภายในองค์กร การบริหารคนในทุกระดับ การพัฒนากระบวนการใหม่ๆ

และสุดท้ายคือ การสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างให้มีเงินเข้า คนในองค์กรพอใจ ลูกค้าดีใจ และชุมชนสังคมสนับสนุน

การสร้างสิ่งใหม่ แตกต่างให้เกิดขึ้นในตัวคนหรือทีม
การพัฒนานวัตกรรมแบบนี้คือการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรก

คนเก่งหรือคนที่มีความสามารถสูงจะสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิมมาก

สิ่งที่ต้องทำคือ การผลักดันงานวิจัยหรือนวัตกรรมออกไปสู่เชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม หรือเชิงสังคมให้ได้

หรือเรียกว่า ทำให้สิ่งที่คิดกลายเป็นจริงและใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมให้ได้

เปลี่ยนจากกระดาษเป็นการกระทำจริง
ถ้าทำงานคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ทุกงานไม่มีทางทำคนเดียวได้

ต้องมีเพื่อน มีทีม สุดท้ายก็ต้องมีความกล้า ไม่อย่างนั้นงานก็เสร็จช้า ทีมงานหนีหมด

*** การทำงานในหน่วยงานเดียวกันให้สำเร็จก็ว่ายากแล้ว การทำงานที่ต้องใช้หลายหน่วยงาน หลากหลายศาสตร์มาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า ยิ่งยากขึ้น

ตัวอย่างที่ผมเคยทำในมหาวิทยาลัยมหิดลเช่น การทำงานร่วมกันระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และสมาคมวิชาชีพฯ

ทั้งสองศาสตร์กับหนึ่งสมาคมวิชาชีพฯ จะเติมเต็มซึ่งกันและกัน ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Co-Creation หรือ Collaboration หรือ Intregration หรือ Convegence ก็แล้วแต่

แต่มันคือการร่วมกันสร้างให้เกิด 1+1 มากกว่า 2 อาจเป็น 3, 4, 5 หรือ 10 เลยก็เป็นไปได้

โดยการนำจุดแข็งของแต่ละคนเติมเต็มจุดอ่อนของกันและกันเพื่อสร้างพลังสูงสุด

หากจะให้สรุปสั้นๆ

ผู้นำต้องสร้างความท้าทาย Challenge สร้างการมีส่วนร่วม Co-Creation สร้างเป้าหมายร่วม Shared Vision และสร้างการสื่อสารที่ชัดเจน Communication

แนวคิดของผู้นำที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้จำเป็นต้องสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Added) ให้เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าองค์กรนั้นกำลังทำสินค้า บริการหรือกระบวนการก็ตาม

หากไม่มีแก่น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปรไปตามสิ่งที่ต้องการทำแบบฉาบฉวย เหมือนอย่างที่หลายๆ องค์กรทำเรื่องการจัดการความรู้ (KM: Knowledge Management) แล้วบอกว่า ไม่เห็นมีประโยชน์ เบื่อจะทำเอกสาร เพราะเรายังเข้าไม่ถึงแก่นของมัน เราแค่เข้าถึงเปลือกที่ไม่ทำให้เกิดการหมุน (Spiral) ซึ่งเป็นหัวใจของ KM

*** ทุกๆ ธุรกิจก็ไม่ต่างกัน

ผู้นำถือเป็นจุดรวมใจขององค์กรที่ต้องมี DNA เด่นในการผลักดันงานให้ประสบความสำเร็จ

และผู้นำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเป็น “ผู้นำที่เป็นผู้กล้า” เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

หลายครั้งเรามักจะบอกว่า ความยากที่สุดในการทำงานให้สำเร็จคือ “เรื่องคน”

คำพูดนี้จริงมากๆ แม้แต่ตัวเราเอง การผลักดันอะไรซักอย่างให้สำเร็จ เรายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง

เมื่อต้องทำกับคนอื่นๆ ที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ผ่านประสบการณ์โชกโชนไม่เหมือนกัน

ความเป็นผู้นำที่ดีจะช่วยให้งานทุกอย่างสำเร็จได้ง่ายขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น

บทเรียนหรือแม่บท..

เมื่อต้องทำ...หรือต้องคิดสิ่งใดๆนั้น..ย่อมต้องเผชิญอุปสรรคบางประการ
ฉะนั้นอาจเจอปัญหาให้ต้องแก้ไข  บางล้มเหลว..บางผ่านไปด้วยดี
ส่วนที่ล้มเหลว  แม้จะเหนื่อย...มันก็เป็นบทเรียนหรือแม่บท..ให้หลีกหลบ
ให้ป้องกัน  ให้เจริญต่อ  ให้เป็นแนวทาง..สู่ความสำเร็จได้...

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

JK Rowling (เจ เค โรว์ลิ่ง)

เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ คือเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดน้่อย กับเพื่อนสนิทสองคน คือ รอน วิสลีย์  และ เฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียน ของโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดมืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ ผู้มีเป้าหมายเพื่อพิชิตประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมด และทำลายทุกคนที่ขัดขวาง

คนที่แต่งเรื่องนี้เป็นสุภาพสตรีชาวอังกฤษ โดยหนังสือถูกนำไปตีพิมพ์ และนำไปสร้างหนัง จึงทำให้สุภาพสตรีท่านนี้ร่ำรวยมหาศาล อย่างไรก็ดี เรื่องราวก่อนที่งานเขียนของ JK Rowling (เจ เค โรว์ลิ่ง)  จะนำความเป็นเศรษฐีระดับหมื่นล้าน จากหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เธอเขียนมาให้ ก็แลกมาด้วยความลำบากอย่างมากมาย แต่เธอสามารถนำประสบการณ์ช่วงนั้น มาเขียนเป็นกฎเหล็กที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องของธุรกิจแล้วก็เรื่องอื่นๆ ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

JK Rowling (เจ เค โรว์ลิ่ง)  นักเขียนชาวอังกฤษ เล่าว่า ตอนที่เธอเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก เธอเป็นซิงเกอร์มัมที่เลี้ยงลูกคนเดียว ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการใช้เงินสวัสดิการของรัฐ และการที่เธอเขียนหนังสือ เธอไม่ได้มีเครื่องมือวิเศษอะไรเลย มีแค่เครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆ แบบธรรมดาไม่ใช่ไฟฟ้า ต้นฉบับที่ JK Rowling เขียนขึ้น มีจำนวนมากกว่าที่จะถูกรับให้ไปเป็นต้นฉบับที่นำไปพิมพ์ เธอได้นำเสนอต่อสำนักพิมพ์ไป 12 ครั้ง ถูกตีกลับทุกครั้ง จนได้รับการตอบรับจากสำนักพิมพ์ในครั้งที่ 13 และได้รับค่าตอบแทนเพียงแค่ 1,500 ยูโรฯ เท่านั้นเอง

หนังสือที่เธอเขียนมีด้วยกัน 8 ชุด เมื่อนำมาเป็นหนังสือและนำไปสร้างเป็นหนังเป็นภาพยนตร์ มันสามารถทำเงินได้ถึง 7.7 พันล้านดอลลาร์ ตัวเธอเองก็ได้รายได้จากส่วนแบ่งหรือเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้เธอมีมูลค่าทรัพย์สินจากนักเขียนจนๆ ต๊อกต๋อย  ตอนนี้เธอมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ $1 billion และก็กลายเป็นนักเขียนที่รวยที่สุดในโลก

เว็บไซต์ thinkbusinessplan.com ได้กล่าวถึงบทความนี้ของ เจ เค โรว์ลิ่ง ที่เธอได้ร้อยเรียงเรื่องของ 10 Success lessons from JK Rowling – “Billionaire Author” for entrepreneurs บทเรียนแห่งความสำเร็จ 10 ข้อจาก  เจ เค โรว์ลิ่ง ดังต่อไปนี้

Don’t be afraid to fail
JK Rowling ได้บอกว่าชีวิตของเธอ คือ ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะวัดด้วยมาตรฐานการอะไร เธอบอกได้เลยว่าชีวิตเธอค่อนข้างที่จะย่ำแย่ยากจน หลังจากการจบการศึกษามาแล้ว 7 ปี เธอประสบความล้มเหลวอย่างมหาศาล แต่งงานก็ต้องเลิกรา ตกงาน ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว แล้วก็จน  คือถ้าเทียบกับคนอังกฤษทั่วๆ ไป เธอถือว่าเป็นคนจนมาตรฐานที่สุดของคนอังกฤษ แต่โชคดีที่เธอยังมีบ้านอยู่

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น คือเธอต้องกล้าที่จะเสี่ยง ไม่กลัวความล้มเหลว คือวิ่งเข้าใส่โอกาส วิ่งเข้าใส่อะไรก็ตามที่จะส่งผลดีต่อชีวิต เธอไม่กลัวที่จะเผชิญ

ดังนั้น กฎข้อแรกของ JK Rowling คือ ไม่กลัวที่จะล้มเหลว
Focus
JK Rowling เล่าว่าก่อนที่จะได้มีไอเดียเขียน หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ มันเป็นแค่ความคิดที่แวบเข้ามาในหัว เธอนึกถึงภาพเด็กน้อยที่เป็นพ่อมดแล้วก็ไปเข้าโรงเรียนพ่อมด แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความเป็นพ่อมดอยู่ในตัว จากความคิดเล็กๆ ที่แวบขึ้นมา เธอก็เริ่มต่อยอดเป็นหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์  เธอบอกด้วยว่า การที่จะเขียน ก็ต้องโฟกัสไปในเรื่องนี้ เธอใช้เวลา 5 ปีในการพล็อตเรื่องราว ท้ายสุดแล้วก็ได้เป็นหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา โดยแปลงจากความคิดแวบเดียวให้กลายเป็นหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกิดจาก พลังแห่งการโฟกัสนั้นเอง

Do what you are passionate about
คือการจะทำอะไร ต้องคลั่งไคล้ ต้องทุ่มเท ต้องรัก ต้องมีความสุขที่จะทำสิ่งนั้น “I am an extraordinary lucky person, doing what I love best in the world. I’m sure that I will always be a writer.” กล่าวคือหากเป็นนักเขียน คงทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากนักเขียนอย่างเดียว เพราะเชื่อว่าต้องเป็นนักเขียน แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ หากเชื่อในสิ่งที่จะเป็น

Have faith
ต้องศรัทธา การที่ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์  แต่มีความเชื่อว่า “ต้องทำได้” เธอจึงทำแบบนั้น ทำอยู่อย่างนั้น 12 ครั้ง เธอเชื่อ และศรัทธาในสิ่งที่เธอเป็น และวันนั้นก็มาถึง ทุกท่านก็สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ ถ้ามีความศรัทธาที่มากพอ

Deal with criticism
ต้องสามารถรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะว่าเวลาคนเราที่ทำอะไรสักอย่างสำเร็จ ต้องเจอกับคำติฉินนินทา การตำหนิติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ เพราะอย่างนั้นคุณต้องสามารถรับมือกับสิ่งพวกนี้ได้ เพราะถ้าไม่ได้ ก็จะหมดกำลังใจ ในการทำธุรกิจ ท่านอาจจะต้องเจอการวิพากษ์วิจารณ์จากลูกค้า หรือจากใครก็ตาม ควรรับมือและนำข้อผิดพลาดมาวิเคราะห์ ปรับปรุงสิ่ง “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” ก็ทำนองเดียวกันกับ Deal with criticism ไม่มีใครชอบเราหมด แม้มีคนชอบเรานิดเดียว ก็ต้องรับมือกับสถานการณ์นี้ให้ได้ ถ้าอยากเป็นคนที่มีความสำเร็จในชีวิต

Having nothing to lose can be a source of great strength
นึกถึงคำสุภาษิตคำไทย ที่บอกว่า “หมาจนตรอก” เวลาหมาจนตรอกมันสู้สุดใจเลย เพราะว่ามันไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะอย่างนั้นความจนตรอกความกลัวก็ต้องสู้ตาย นั้นเหมือนกับที่ JK Rowling บอกว่า การที่ไม่มีอะไรจะเสีย มันก็คือจุดที่ทำให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะนำไปต่อสู้กับปัญหาเพื่อไปสู่เป้าหมาย เพราะอย่างนั้น เมื่อถึงวิกฤต ควรตั้งสติดีๆ แล้วแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส แปลงวิกฤตให้เป็นพลัง แปลงความจนตรอก พุ่งชนสู่เป้าหมาย เพราะเป้าหมายมีไว้ให้พุ่งชน เ

You are responsible for your own life
ต้องรู้ว่าอย่างเป็นอะไร และต้องเชื่อในสิ่งนั้น  เหมือนที่ JK Rowling กล่าวว่า “You are responsible for your own life” ไม่มีใครมารับผิดชอบแทนคุณได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าคุณเก่งอะไร เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง

Stop blaming
คือ เมื่อเวลาทำอะไรผิด คนส่วนใหญ่มักจะโทษคนอื่น บ่นคนอื่น ว่าคนนั้นไม่ดี  แต่ JK Rowling บอกว่า ให้โทษตัวเองแล้วหาทางปรับปรุง มากกว่าจะบ่นว่าคนอื่น เมื่อทำอะไร ให้ดูที่ตัวเองก่อนโทษคนอื่น เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด

Go ahead and daydream
JK Rowling บอกว่า เรื่องความฝัน จินตนาการ ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่อย่างเราทุกคนก็มีความฝันมีจิตนาการได้ เพราะคนทุกคนมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวตลอด เพียงแค่ว่าตอนเราโตขึ้นเราเก็บความเป็นเด็กไว้ เนื่องจากดูว่ามันไม่เหมาะสมหรืออย่างไร “Go ahead and daydream” คือต้องฝันอยู่ตลอดเวลา ฝันให้ไกลไปให้ถึง ความฝันคือจุดเริ่มต้นของการทำอะไรสักอย่าง ที่ประสบความสำเร็จเหมือนกับที่ Albert Einstein ได้บอกว่า “Imagination is more important than knowledge.” ความรู้เกิดขึ้นจากจินตนาการ การสร้างจินตนาการให้เป็นจริงก็กลายเป็นความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Albert Einstein บอกไว้แล้วสอดคล้องกับที่ JK Rowling เค้าบอก “Go ahead and daydream” อย่าไปหยุดที่จะฝัน ฝันให้ไกลไปให้ถึง

Material achievements ≠ personal happiness
บางที่การมีวัตถุมากๆ ก็ไม่ใช่ความสุขเหมือนกัน คือมีเงินมีแล้วดีไหม ดี แต่ถ้าชีวิตต้องไปเป็นทาสเงินหาความสุขไม่ได้ JK Rowling บอกว่า ความสุขไม่เท่ากับวัตถุนิยม คือต้องพอดี หาความสมดุลระหว่าง ความสุขกับทุนนิยม นี่คือข้อ 10 ของ JK Rowling ซึ่งเค้าเป็นคนที่เข้าถึงความสุข เพราะชีวิตเค้าได้ผ่านประสบการณ์มาอย่างมากมายจริงๆ

ที่มา : เว็บไซต์ thinkbusinessplan.com