วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

Siegelson

Lee Siegelson attended Cranbook, a famous preparatory school in Bloomfield Hills, Michigan. This formative experience influenced the way he views the important art object he sells. The school, like Cartier's Mystery Clock Model A and the great pieces of the Art Deco movement, employed the notion of deviation from the assembly line mentality of Henry Ford. The Model A clock by Cartier was produced entirely by hand by a team of master artisans, taking nearly a year to complete, in contrast to Henry Ford's Model T, the 1908 automobile symbolizing the efficacy of mechanized mass production.

Cranbrook was designed and built by Finnish architect Eliel Saarinen who was given an unbridled approach to design and architecture by founder and Arts and Crafts proponent George Gough Booth. The beauty of the school's architecture and horticulture are intended to inspire and influence the students as much as their classes. Siegelson has applied the ideals employed at Cranbrook in his work and his life: simplicity, uniqueness, and detail. Siegelson's interest in fine objects is the opposite of the commercialism and mass production ever-present in the jewelry industry today. Siegelson focuses on pieces designed without compromise and with the utmost quality.

As a reminder of the importance of trusting your intuition, this quotation by the architect Louis Sullivan is posted on the door of the Siegelson safe, “Imagination is the greatest of man’s single working powers—and the trickiest; as the intellect is the frailest, the most subject to derangement, the most given to cowardice and betrayal, unless it be held steady and sane by the power of Instinct.”

ขายเครื่องปรินซ์RP 3d system รุ่นProjet3500 CPXMax

ขายเครื่อง RP printer  รุ่น Projet3500 CPXMax
 สภาพดีมากครับ..ถาดใหญ่..
บริการซ่อมบำรุงดีมากครับ..I.E mac.
ปริ้นซ์แล้วหล่อโลหะได้ทันที
ต้องการขายเพื่อซื้อรุ่นใหม่ครับ...บริการซ่อมบำรุงดีมาก
.#800,000 บาทครับ
(ประกาศขายให้ในนามบริษัท..ไม่บวกค่านายหน้าครับ)

เทคนิคโกอินเตอร์ แบรนด์ในตำนาน

เทคนิคโกอินเตอร์ แบรนด์ในตำนาน
​     กว่า 80 ปีที่ยาอมแก้ไอ “ตะขาบ 5 ตัว” อยู่คู่คนไทยจากรุ่นสู่รุ่น จนวันนี้แบรนด์ถูกส่งต่อมาอยู่ภายใต้การบริหารงานของทายาทรุ่นที่ 3 คือ เมธา สิมะวรา ผู้จัดการโรงงาน และผู้รับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์ บริษัท ห้าตะขาบ (ซิมเทียนฮ้อ) จำกัด โดยมีภารกิจสำคัญในการเดินเกมตลาดเชิงรุกเพื่อกรุยทางสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มยาอมแก้ไอสมุนไพรบนเวทีโลก!! เรามาดูเทคนิคการโกอินเตอร์ของแบรนด์เก่าแก่นี้กัน

1. สินค้าตอบโจทย์ นอกจากสินค้าจะต้องคุณภาพดีและมีมาตรฐานแล้ว สินค้ายังต้องตอบโจทย์ลูกค้าด้วย ซึ่งในการจะบุกตลาดต่างแดนนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เช่น ตลาดอินโดนีเซียคนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม สินค้าก็ต้องมีฉลากฮาลาล ตลาดเมียนมาซึ่งชื่นชอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรและสินค้าไทยอยู่แล้ว เราก็ต้องสื่อสารสรรพคุณตัวยาให้ลูกค้ารับรู้

2. เลือกช่องทางการขายให้เหมาะ ผู้ประกอบการควรประเมินศักยภาพในการทำตลาดของตัวเอง เพราะเราไม่ใช่คนในประเทศนั้น จึงไม่รู้ไลฟ์สไตล์เชิงลึกของผู้บริโภคได้ดีเท่าคนในพื้นที่ สำหรับห้าตะขาบเองเลือกที่จะขายผ่านบริษัทตัวแทน โดยมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่หลักๆ จะให้สิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายเพียงหนึ่งรายต่อหนึ่งประเทศในการไปกระจายสินค้าต่อให้ผู้ค้าในประเทศของตน ยกเว้นจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง ห้าตะขาบจะทำการกระจายสิทธิ์การจำหน่ายสินค้าเอง จริงๆ แล้วแนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มใช้เพื่อบุกต่างประเทศอย่างเดียว เพราะห้าตะขาบมีการใช้โมเดลนี้ในการกระจายสินค้าในไทยอยู่แล้ว

3. มีคู่ค้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เนื่องจากห้าตะขาบใช้การขายผ่านบริษัทตัวแทนจึงให้ความสำคัญในจุดนี้มาก ซึ่งวิธีในการเลือกตัวแทนหรือคู่ค้าก็คือ ต้องมีความซื่อสัตย์ อยู่ในอุตสาหกรรมยามานานจนรู้จักตลาดในประเทศตัวเองเป็นอย่างดี และมีเงินทุนมากพอที่จะทำให้สินค้าติดตลาดในประเทศของตนได้

4. ฉลาดสื่อสาร ตลาดในแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรตายตัวว่าทำแบบนี้แล้วจะใช้ได้กับทุกประเทศ ซึ่งกลยุทธ์สำคัญของห้าตะขาบคือการวางแผนร่วมกับคู่ค้า เนื่องจากคู่ค้าเข้าใจผู้บริโภคในประเทศเขามากกว่าเราที่เป็นคนนอก โดยแผนการสื่อสารที่ห้าตะขาบใช้ เช่น ฮ่องกงจะเน้นสื่อสิ่งพิมพ์ค่อนข้างเยอะ กัมพูชาใช้การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ส่วนลาวมีโบรชัวร์ยาของห้าตะขาบแจกฟรี สิงคโปร์มีการทำวิดีโอแสดงให้เห็นว่ายาอมแบบเม็ดสามารถพกพาสะดวกกว่ายาน้ำและมีการติดภาพโฆษณาบนรถบัส เมียนมามีติดป้ายไวนิลโฆษณาตามที่ต่างๆ รวมถึงร้านขายยา และด้วยความที่เมียนมานิยมกินหมาก และมีเคาน์เตอร์ขายหมากเป็นจำนวนมาก ห้าตะขาบจึงติดป้ายโฆษณาบนเคาน์เตอร์หมากด้วยเพื่อให้คนจดจำแบรนด์แล้วบอกต่อแบบปากต่อปาก

5. มีจุดยืนแต่ไม่หยุดนิ่ง แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีการส่งออกมากที่สุด แต่ในตลาดอาเซียนก็มีการแข่งขันกันดุเดือด ดังนั้นจึงต้องเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วยการพัฒนาสินค้า ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนรูปแบบแพ็กเกจจิ้งให้มีความทันสมัย แต่ต้องไม่ทิ้งตัวตนของตัวเอง เช่น การแตกไลน์สินค้า ห้าตะขาบยังคงเป็นยาแก้ไอเหมือนเดิม แต่มีการพัฒนาจนมาเป็นน้ำยาสกัดเข้มข้นในขวดสเปรย์ ซึ่งหนึ่งสเปรย์ฉีดมีค่าตัวยาเท่ากับยาหนึ่งเม็ด และต่อยอดไปเป็นซอฟท์เจล โดยอัดน้ำยาเข้มข้นนี้เข้าไปในเจลาติน เมื่ออมแล้วตัวยาจะเข้าไปแตกในปากได้อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยให้การขนส่งง่ายขึ้นแล้ว ยังเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ทำให้ขายสินค้าได้ในราคาที่สูงขึ้นกว่ายาอมเม็ดหลายเท่าตัว ขณะเดียวกันตัวสินค้าก็มีความเป็นสากลเหมาะกับการจำหน่ายไปทั่วโลกด้วย

6. รับมือข้อจำกัดด้านกฎหมาย ถึงแม้อาเซียนจะมีการเปิดเสรีและอยู่ภายในกฎระเบียบการค้าเดียวกันแล้ว แต่รายละเอียดเงื่อนไขก็ยังคงมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศที่ต้องศึกษาให้ดี รวมถึงวัฒนธรรมในการติดต่อราชการของแต่ละประเทศด้วย สำหรับห้าตะขาบนั้นใช้วิธีให้คู่ค้าไปจัดการกันเอง แต่คอยให้ความร่วมมือเรื่องเอกสารที่ต้องใช้สนับสนุนแทน เพราะเงื่อนไขแต่ละประเทศต้องการเอกสารแตกต่างกัน แต่โดยรวมจะมีเอกสารหลักๆ ที่คล้ายกัน เช่น เอกสารเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิต อย่าง GMP/HACCP ใบทดสอบความคงตัวของยา ใบอนุญาตการผลิต ทะเบียนยาในประเทศ เป็นต้น

     สำหรับอนาคตของห้าตะขาบ ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัวให้มีการเติบโตอย่างน้อยปีละ 20% โดยเพิ่มสัดส่วนการส่งออกจากเดิม 20% เป็น 40% เพื่อรุกตลาดก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มยาแก้ไอแผนโบราณในตลาดโลก

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

ดูเพชรแท้ เพชรเทียม

ดูเพชรแท้ เพชรเทียม...ทดสอบอย่างง่ายๆ

....

...รอบหน้าจะพาดูทองแท้ ทองปลอม..ทดสอบอย่างง่ายๆเช่นกัน

(กดชมย้อนหลัง) https://m.youtube.com/watch?v=XKctywP9YjI

"เพชร...เลอค่า ที่สุดแห่งอัญมณี" หลากหลายวิธีตรวจเพชรแท้-เทียม // ภาณุสฤษฏิ์ บุญคำ ผู้บริหาร โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี // นำเสนอโดย ขจรศักดิ์ เชาว์เจริญรัตน์ รายการสยามไทยอัพเดต 10.30น. จันทร์ 27 มี.ค.60 ช่อง๑๓สยามไทย

ดร.สันต์ เจมส์อะร่า

Gems Ara by Dr. Saint

http://gggschool.blogspot.com/

อ.สันต์: 091-8078228

https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE

Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemssan

คอร์สผลิตเครื่องประดับอัญมณี

เถ้าแก่ร้านทอง..ร้านเพชร..โรงงานเครื่องประดับ..

ดูเพชรแท้เพชรเทียม...แหวนแต่งแหวนหมั้น

รวยด้วยเครื่องประดับเพชร..ขายเพชร..

เรียนวันอาทิตย์ 9.00-17.00น.

เราสอนถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม

สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ

สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก

สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ

ที่ปรึกษาและฝึกอบรม ทั่วประเทศ

โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี

(Gems and Gemology and Graphic design of school)

199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร 74130



การตลาดแบบปากต่อปาก


ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นขยายกิจการธุรกิจแบบไหนให้ได้ผลดี มีคนจดจำแบรนด์มากขึ้นล่ะก็ ขอแนะนำการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” สุดยอดกลยุทธ์ที่ถึงแม้จะเก่าแค่ไหน แต่มันก็ได้ผลชนิดที่ใครหลายๆ คนคาดไม่ถึง เพราะคำพูดมีพลังมหาศาลที่จะโน้มน้าวจิตใจคนได้ โดยเฉพาะถ้ามันหลุดมาจากปากของคนใกล้ตัว ความน่าเชื่อถือยิ่งเพิ่มขึ้น นี่แหละคือหัวใจสำคัญของการตลาดแบบ “ปากต่อปาก”
วันนี้เราเลยมาพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับการตลาดรูปแบบนี้ให้ดีขึ้นและใช้งานได้จริง รับรองว่าลูกค้าต้องติดใจและกลับไปบอกต่อชัวร์

1. ปราการด่านแรก ต้องบริการให้เนี้ยบที่สุด
การจะให้ลูกค้าบอกปากต่อปากได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ แต่ถ้าทำได้ล่ะก็มันจะมีประสิทธิภาพมากเลยล่ะ และปัจจัยแรกที่ใช้ในการตัดสินว่าลูกค้าจะบอกต่อสินค้าหรือแบรนด์เรารึเปล่าก็คือ การบริการนั่นเอง ทุกบริษัทก็อยากจะให้ลูกค้าคิดว่าตัวเองมีใจรักในการบริการ แต่ถ้ายังแสดงหน้าตาบูดบึ้ง ถามคำตอบคำ ไม่มองหน้าเวลาพูด แบบนี้เป็นใครก็ไม่ชอบหรอกครับ เพราะฉะนั้นแก้ที่เรื่องนี้ก่อนเลย ลูกค้าเข้ามาเรายิ้มให้ก่อนอันดับแรก และเข้าประชิดถามว่าอยากให้ช่วยอะไรมั้ย ทุกคำพูดต้องแฝงด้วยรอยยิ้มและการมองตา สุภาพและรับฟังอย่างตั้งใจ ถ้าให้บริการแบบนี้ได้ ลูกค้าก็พร้อมจะบอกต่อเราแล้วล่ะ

2. ติดต่อกันตลอด ทำยังไงก็ได้ไม่ให้เค้าลืมเรา

ถ้าเราขายสินค้าชิ้นหนึ่งแล้วเราอยากให้คนบอกต่อสินค้าเราเยอะๆ เราต้องทำยังไงก็ได้ให้เค้านึกถึงเราให้ได้ เวลาที่เค้าพูดถึงสินค้าประเภทนี้ เช่น เราขายผ้าอ้อม เวลาลูกค้าเราไปคุยกับคุณแม่มือใหม่สักคน แล้วพูดถึงเรื่องผ้าอ้อม เราก็ต้องทำให้เค้านึกถึงผ้าอ้อมของเรา ซึ่งกลยุทธ์ตรงนี้จะทำให้เค้าจำเราได้ก็คือ ต้องคอยขยันส่งอีเมล ส่งข้อความ อัปเดตข่าวสารตามโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด เวลา มีโปรโมชันใหม่ๆ ก็อย่าให้ลูกค้าพลาด อะไรที่ดีกับเค้าก็เสิร์ฟให้เค้าไปเลยถึงที่ พอเค้าได้เห็นเราทุกวัน เค้าก็จะจำเราได้เอง แล้วบทสนทนาครั้งต่อไปต้องมีชื่อแบรนด์เราแน่นอน

3. ชื่อและข้อมูลทุกอย่างต้องหาง่าย จะได้รู้ว่าเราเป็นใคร

ในมุมของลูกค้ายุคนี้ถ้าเค้าอยากบอกต่อเรากับใคร แต่เค้าต้องมาหาชื่อเราเป็นชั่วโมง แบบนี้เป็นใครคงไม่อยากบอก อะไรที่มันลำบากนิดลำบากหน่อยเค้าก็ไม่สนใจแล้ว เพราะมีคู่แข่งอีกตั้งเยอะแยะที่พร้อมจะทำตัวเข้าถึงง่ายให้เค้าไปใช้บริการ เราเลยต้องสนใจที่จุดนี้ด้วย ดังนั้นต้องทำให้ชื่อและข้อมูลเราหาง่ายที่สุด บอกรายละเอียดทุกอย่างให้ชัดเจนบนเว็บไซต์ นามบัตร หรือโฆษณาตามที่ต่างๆ แบบนี้เวลาเค้าอยากจะบอกต่อเรากับใคร แค่ส่งลิงก์เราให้หรือแท็กเพื่อนๆ มาในเฟซบุ๊ก เราก็ได้แต้มแล้ว

4. เป็นพันธมิตรกับบริษัทอื่น ช่วยกันบอกต่อ

มาถึงวิธีสุดท้ายในการบอกต่อ ให้ลองมองหาใครสักคนที่เปิดธุรกิจมีสินค้าใกล้เคียงกับเรา หรือไปในทิศทางเดียวกัน แล้วเข้าไปทำพาร์ทเนอร์ร่วมกัน เจรจาต่อรองกันดูให้เค้าช่วยบอกต่อสินค้าเราเวลามีคนมาซื้อ แนะนำกับลูกค้าไปว่าสินค้าเราดียังไง แล้วเราก็ทำแบบนั้นกับเค้าเหมือนกัน ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้มากโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท แถมได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายอีกต่างหาก สุดยอดไปเลยนะวิธีนี้

สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษา Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สายด่วน 1333

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

Moissanite

Moissanite (/ˈmɔɪsənaɪt/)[4] is the name given to naturally occurring silicon carbide and to its various crystalline polymorphs. It has the chemical formula SiC and is a rare mineral, discovered by the French chemist Henri Moissan in 1893. Silicon carbide is useful for commercial and industrial applications due to its hardness, optical properties and thermal conductivity. Efforts to synthesize silicon carbide in a laboratory began in the late 1800s.

Moissanite was introduced to the jewelry market in 1998 after Charles & Colvard, formerly known as C3 Inc., received patents to create and market lab-grown silicon carbide gemstones, becoming the first firm to do so. Charles & Colvard currently makes and distributes moissanite jewelry and loose gems under the trademarks Forever One, Forever Brilliant and Forever Classic.[16] Other manufacturers market silicon carbide gemstones under trademarked names such as Amora and Berzelian. Moissanite is regarded as a diamond alternative, with some optical properties exceeding those of diamond. Its lower price and less exploitative mining practices necessary to obtain it make it a popular alternative to diamonds. Due in part to the similar thermal conductivity of moissanite and diamond, it is a popular target for scams; however, higher electrical conductivity and birefringence of moissanite may alert a buyer to fraud. In addition, thermoluminescence is exhibited in moissanite, such that heating it gradually will cause it to change color starting at around 65 °C (150 °F). This color change can be diagnostic for distinguishing diamond from moissanite, although birefringence and electrical conductivity differential are more practical diagnostic differentiators.[17] On the Mohs scale of mineral hardness it is a 9.5, with a diamond being a 10.[3] In many developed countries, the use of moissanite in jewelry was controlled by the patents held by Charles & Colvard; these patents expired in August 2015 for the United States, and will expire in 2016 in most other countries except Mexico, where it will remain under patent until 2018.[18][19][20]

Because of its hardness, it can be used in high-pressure experiments, as a replacement for diamond (see diamond anvil cell).[5] Since large diamonds are usually too expensive to be used as anvils, synthetic moissanite is more often used in large-volume experiments. Synthetic moissanite is also interesting for electronic and thermal applications because its thermal conductivity is similar to that of diamonds.[14] High power silicon carbide electronic devices are expected to find use in the design of protection circuits used for motors, actuators, and energy storage or pulse power systems.[21]

Diamonds vs Moissanite

Although a center stone is typically a diamond, there are other options that can make an engagement ring more affordable and just as beautiful. One of my favorite options is moissanite. Moissanite, originally discovered in 1893 in a meteor crater, is a very rare and scarce mineral. Therefore, moissanite as we know it today is almost exclusively lab grown. Let’s compare Diamonds vs Moissanite in color, hardness, brilliance, and price:

Diamonds vs Moissanite, Color:

While certified diamonds are graded on color and can be compared with one another, moissanite stones are not graded on color. Classic moissanite is not colorless and many feel that its color is similar to a GIA-certified K-color diamond. As with diamonds, the smaller the moissanite, the more colorless it will look. Additionally, under certain lighting, moissanite may project a yellow or green hue. This is probably the main reason that Charles and Colvard developed two options besides classic moissanite.

For those wanting a near-colorless stone, Forever Brilliant moissanite is a great option as it is noticeably less yellow (more colorless) than a classic moissanite. Many compare Forever Brilliant moissanite to a GIA-certified H-color diamond.

VIEW OUR FOREVER BRILLIANT MOISSANITE COLLECTION>

For those wanting a true colorless stone, you are in luck. Very recently (September 2015) Charles and Colvard released their newest brand of moissanite known as Forever One moissanite. Forever One moissanite is completely colorless and is similar to a GIA-certified E-color diamond. They are limited in shapes, sizes, and stock because of their recent release but they truly are colorless and perfect if you want an ice-white stone.

VIEW OUR FOREVER ONE MOISSANITE COLLECTION>

Diamonds vs Moissanite, Hardness:

The harder a material, the more difficult it is to scratch. On the Mohs Scale of Hardness, moissanite is rated as a 9.25, which is a great score that is higher than any gemstone used in jewelry besides diamonds. Diamonds, which are the hardest known mineral, score a 10.

Diamonds vs Moissanite, Brilliance:

Brilliance, which refers to the ability to reflect white light, is a good measure for how much a diamond will ‘sparkle’. Moissanite disperses light very well and is actually more brilliant than a diamond. Additionally, moissanite is less likely to attract grease or dirt than a diamond and should keep the ‘sparkle’ longer in between cleanings.

YAG GGG

Yttrium aluminium garnet (YAG)

Yttrium aluminum garnet (YAG) first appeared on the market in the early 1960's. The GIA laboratories examined this material in cut form in 1964. It is manufactured by the Linde division of Union Carbide, the Airtron division of Litton Industries, Raytheon and Crystal Optics and was first applied for industrial use in laser research and as an acoustical microwave delay line in communications. It was some time before its applicability in the jewelry industry was fully realized.

The methods employed for production are the Czochrolski "pulling" technique (developed in 1918), and very rarely, the flux-melt method. In essence, the pulling method begins with a small seed crystal which is carefully lowered so as just to touch the surface of molten material. Melting points of approximately 1980°C (near 3600°F) are reached as the seed is rotated and slowly raised producing a long rod-like crystal. Growth is accomplished at the rate of 2 to 6 mm per hour with the boules being one inch or larger in diameter. Since rotation is involved, the boules exhibit a series of more or less pronounced growth rings (see Figure 29).

Flux-grown material yields only small crystals. The growth temperatures are lower than in the pulling method and growth is much slower. The crystals show perfect faces of dodecahedron and trapezohedron as in natural garnets. It should be noted that true garnets which are silicates have been synthesized in many laboratories of the world, although not in commercial quantities. YAG which is a man-made gemstone material does not reproduce anything known in nature, and even though it has a garnet structure, it lacks any silica in its composition. Therefore, YAG's chemical composition is different from garnet which contains silica.

The majority of this gem material on the market is colorless, and is promoted as a diamond substitute under names including Diamanite, Diamonair, Diamonique, Diamonte , Di'Yag, Geminair, Linde Simulated Diamond and Triamond. Many different impurities or dopants may be used to produce a variety of colors including green (chromium), yellow (titanium), red (manganese), blue (cobalt) and purple (neodymium).

Yttrium-aluminum garnet is isotropic and has a refractive index of 1.833; its specific gravity is 4.55; the dispersion measures .28, and its hardness is between 8 to 8-1/2. The luster is sub-adamantine; it takes an excellent polish and has moderate brittleness. The cut material will display some fire if it is cut to good proportions (see Figure 30).

When testing for separations; cut YAG may be viewed parallel to the girdle and will lack the brilliance of a diamond; in addition, upon immersion in a high-index liquid it wilt become transparent and practically disappear from view; even in water, it loses most of its brilliancy. It will also show a conchoidal fracture, as opposed to the splintery fracture of diamond. Despite the fact that cutters may incorporate, a bit of "skin" on the girdle resembling naturals of a diamond, close microscopic examination will disclose their true nature (Figure 31).

The majority of specimens are clean, but when internal characteristics are present, they include gas bubbles, irregular appearing fingerprints and spherical or tube-like inclusions (see Figure 32).

The green material will often show a rather strong curved striae, with a superimposed irregular structure which may be seen at right angles to the curved striae (Figure 33).

Although not always present, the colorless specimens often display a yellow to orange fluorescence under long-wave ultraviolet, and under X-rays a bright mauve. Employment of the Chelsea color filter-with the green stones will show the transmitted light to be red. Depending upon the coloration agent used, the absorption spectra will vary greatly, and those of the yellow and green materials are shown in Figure 34 and 35.

An additional garnet-like synthetic that warrants notation is yttrium oxide. As with YAG, this material is cubic in crystallization, and may well be another promising diamond substitute. Its refractive index is 1.92, the dispersion is .050, and its density is 4.84; with a hardness measuring between 7-1/2 to 8, it takes a high polish.

GADOLINIUM GALLIUM GARNET (GGG)

Gadolinium gallium garnet, a man-made gem material is commonly seen in the trade as a diamond stimulant often called GGG or 3G. It is singly refractive with an refractive index of 2.03, specific gravity 7.05, dispersion 0.038 and the hardness is 6-3/4. The strong orange fluorescence of gadolinium gallium garnet under short-wave ultraviolet aids in identification. This gem material is manufactured by the Czochralski method.

เพชรโมอิส Synthetic Moissanite

เพชรเทียมอีกชนิดนึงที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเพชรแท้มากๆนั่นก็คือ“เพชรโมอิส”
หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Synthetic Moissanite”
เพชรเทียมชนิดนี้สังเคราะห์ขึ้นมาโดยมีความแข็งที่ใกล้เคียงกับเพชรแท้
ทำให้แยกกันลำบากถ้ามองด้วยตาเปล่า เพราะว่าเหลี่ยมจะค่อนข้างคมเหมือนเพชรแท้
วิธีสังเกตเพชรเทียมชนิดนี้ ให้สังเกตที่ “ภาพซ้อน” (doubling) ของเหลี่ยมเพชร
การเกิดภาพซ้อนของเพชรโมอิสเกิดจากการหักเหของแสงที่แตกต่างจากเพชรแท้ ทำให้สามารถแยกได้

เพชรสวิส เพชรรัสเซีย เพชรโคลนนิ่ง เพชร CZ หรือ เพชรเทียม

เพชรสวิส เพชรรัสเซีย เพชรโคลนนิ่ง เพชร CZ ที่บ้านเรานิยมเรียกกันก็คือ เพชรหรืออัญมณีสังเคราะห์ ที่ผลิตมาเพื่อเลียนแบบเพชรแท้ มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ Cubic Zirconia (คิวบิคเซอร์โคเนีย) เรียกย่อๆว่า CZ ครับ CZ ได้ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย เพชรรัสเซีย ก็คือเพชรที่ผลิตและมาจากประเทศรัสเซียครับ ส่วนประเทศอื่นๆเริ่มมีการผลิต CZ กันบ้าง เช่นประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพชรสวิส ก็คือเพชรที่ผลิตและมาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ครับ
เพชรถือว่าเป็นสสารที่แข็งที่สุดในโลก (มีหน่วยเป็น10 Mohs) ในขณะที่ CZ มีความแข็งใกล้เคียงคือประมาณ 8.5 Mohs ซึ่งแม้จะน้อยกว่าเพชร แต่ก็แข็งพอ ๆ กับพลอยเนื้อแข็งเช่น ทับทิม และ ซัฟไฟร์ ครับ
ปัจจุบันเพชร CZ ได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากเครี่องประดับ CZ ดูเหมือนและใกล้เคียงกับเพชรแท้ แต่ราคาถูกกว่าเพชรแท้มาก
ประเทศที่ผลิต เพชร CZ  เช่น ประเทศรัสเซีย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ..

เพชรรัสเซีย, เพชรสวิส, เพชรเทียม, เพชรสังเคราะห์

มาทำความรู้จัก เพชรรัสเซีย, เพชรสวิส, เพชรเทียม, เพชรสังเคราะห์ , โดย พลังแห่งธาตุ กับ หินสีมงคล
เพชรรัสเซีย, เพชรสวิส, ซีแซด, เพชรเทียม, เพชรสังเคราะห์ (เรียกต่างๆ กันไปแต่ หมายถึง เพชรรัสเซีย)
เพชรรัสเซีย (Cubic zirconia) เป็นเพชรที่สร้างขึ้นมาจากการตกผลึกของผงเซอร์โคเนียม (zirconium dioxide) (ZRO2). มันแข็ง,ไร้ตำหนิและราคาไม่แพง. มันทำได้หลายสี แต่ที่มีชื่อเสียงคือเพชรรัสเซียสีขาว (white cubic zirconia) เพราะเพชรเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดคือเพชรอเมริกัน (American diamond (AD)).

เพชรรัสเซีย (Cubic zirconia) แข็งมากกว่าพลอย semi precious ธรรมชาติ เกินกว่าจุดหลอมเหลวสูงสุดที่ 2750 องศาเซลเซียส.

เพชรรัสเซียหรือเพชรเทียม เพชรเทียมถูกผลิตขึ้นมาเลียนแบบการผลิตของธรรมชาติ โดยย่นเวลาของธรรมชาติหลายล้านปีมา ในตลาดเพชรเทียมแบ่งแยกไว้ดังนี้

ความแตกต่างระหว่าง CZ กับ เพชรแท้
- หากดูด้วยตาเปล่าจากภายนอก CZ ดูแทบเหมือนกับเพชรที่มีคุณภาพสูงทุกประการ ส่งที่ต่างกันเล็กน้อยแม้กระทั่งนักอัญมณีศาสตร์ยังยากที่จะบอกหากไม่มีเครื่องมือ ก็คือ CZ จะมีประกายน้อยกว่าเพชรเล็กน้อย ในขณะที่ CZ มีไฟ (แสงวุบวับสีรุ้ง) มากกว่าเพชรเล็กน้อย
- ความแข็งอยู่ที่ 8.5 -9 ต่อ 10 ของเพชรแท้ ตามมาตรา Moh's scale
- น้ำหนักมากว่าเพชรแท้ 1.7 เท่า (cz หนักกว่าเพชรถึง 75% ดังนั้นในน้ำหนักที่เท่ากัน cz จะมีขนาดที่เล็กกว่า)
- เนื้อเพชรแตกต่างกับเพชรแท้แต่ต้องใช้กล้องขยายไม่ต่ำกว่า 10 เท่าถึงจะเห็นความแตกต่าง
- สี สามารถทำให้ไร้สี (Colorless) ในระดับ D Color หรือ Perfect D ได้ทีเดียว ในขณะที่เพชรแท้นั้น จะหาได้ยากมาก ส่วน CZ ที่มีสีเกิดจากการเติมสารเข้าไป

คุณสมบัติต่าง ๆ ของ CZ
สามารถสังเคราะห์ให้ใกล้เคียงกับเพชรแท้ได้ ซึ่งก็หมายถึงเกรดงานของ cz ฉะนั้นจึงมีหลายเกรด เกรดของ cz ที่ใช้ในท้องตลาดเรียงจากราคาแพงที่สุดไปถูกที่สุดคือ Costume Grade > Regular Grade > Commercial Grade

ซีแซด (Cubic Zirconia) ซีแซด จัดได้ว่าเป็นเพชรเทียมที่มาแรงที่สุด ด้วยความคล้ายเพชรแท้ ซีแซด เป็นคำย่อมาจาก คิวบิก เซอร์โคเนีย (Cubic Zirconia) ซีแซดเริ่มผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1977 โดยใช้สารประกอบเซอร์คอเนีย (ZrO2) หลอมที่อุณหภูมิสูง มีโครงสร้างผลึกในระบบคิวบิก หรือสี่เหลี่ยมลูกเต๋า (Cubic Crystal) คือมีความยาวของแกนผลึก 3 แกนเท่ากันและตั้งฉากกัน จึงเป็นที่มาของชื่อว่า คิวบิก เซอร์คอเนีย

ซีแซด มีการหักเหเดี่ยวเช่นเดียวกับเพชรแท้ เพชรเทียมซีแซดมีเนื้อใสสะอาดแทบปราศจากมลทินใดๆ ในขณะที่เพชรธรรมชาติส่วนใหญ่จะมีมลทินประปน

การจัดเกรดของซีแซด จึงขึ้นอยู่กับการเจียระไน โดยทั่วไปมักเจียระไนเป็นรูปกลม การเจียระไนที่ได้สัดส่วนพอเหมาะจะทำให้ซีแซดมีไฟไม่แพ้เพชรจริง โดยเฉพาะเมื่อใส่ในตัวเรือนแล้วแทบจะแยกด้วยตาเปล่าไม่ออก

รูปทรงของการเจียรนัยเพชร

เพชรสวิส ชื่อเดิมเพชรรัสเซีย Cubic Zirconia (ZrO2) เพชรสวิส หรือ เพชรรัสเซีย
หมายถึง คิวบิค เซอร์โคเนีย (Cubic Zirconia หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CZ) มีชื่อทางเคมีคือ Zirconium Oxide หรือ ZrO 2 ถือเป็น สารที่หาได้ยาก ตามธรรมชาติ แต่เป็นที่รู้จักกัน โดยทั่วไป ในฐานะของ สารสังเคราะห์ ที่ใกล้เคียงกับเพชร (Diamond) ซึ่งผลจากการ สังเคราะห์จะได้สารที่แข็ง, ไร้ตำหนิ, และมักจะไม่มีสี นอกจากจะเติมเข้าไป เพื่อความสวยงาม

CZ เป็นเพชรที่มนุษย์สร้างขึ้น มาจากผงเซอร์โคเนีย (Zirconia) โดยวิธีการที่เรียกว่า “Skull Metting” ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก โดยกลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ ชาวรัสเซีย เพื่อทำเครื่องประดับ แทนเพชร แต่ราคาต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า เพชรรัสเซีย พลอยสังเคราะห์ชนิดนี้ มีประกาย และการกระจายแสง ดีเกือบเท่าเพชร ดูคล้ายเพชรมากที่สุดในหมู่พลอย เลียนแบบเพชรด้วยกัน ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น Syn Kutile, zircon, Y.A.G.,G.G.G.,Strontium Titauate มีการใช้คิวบิคเซอร์โคเนีย แทนพลอย

เพชรสวิส หรือ เพชรรัสเซีย ย่อมาจาก Cubric Zircunia (ZrO2) คือเพชรสังเคราะห์ ที่มีคุณสมบัติเหมือนเพชรแท้ จนแยกด้วยตาเปล่าไม่ได้ นำมาทำเครื่องประดับ หัวแหวน จี้ กำไล
1. ความแข็งอยู่ที่ 8.5-9 ต่อ 10 ของเพชรแท้
2. น้ำหนักมากกว่าเพชรแท้ 1.7เท่า
3. เนื้อเพชรแตกต่างกับเพชรแท้แต่ต้องใช้กล้องขยายไม่ต่ำกว่า 10 เท่าถึงจะเห็นความแตกต่าง
4. สี สามารถทำให้ไร้สีในระดับ D Color หรือ Perfect D ได้ทีเดียว ส่วน Cz ที่มีสีก็เกิดจากการเติมสารเข้าไป

วิธีดูเพชรแท้ กับเพชรเทียมว่าดูอย่างไร
เพชรแท้ แสดงว่า เป็นของธรรมชาติ
เพชรเทียม แสดงว่า ไม่ใช่เพชรแท้

เพชรเทียมนี้อาจจะเป็นของธรรมชาติที่เขานำมาเลียนแบบธรรมชาติก็ได้ หรือเป็นของสังเคราะห์สร้างโดยฝีมือมนุษย์เพื่อนำมาเลียนแบบเพชรก็ได้ เพชรเทียมไม่จำเป็นต้องเป็นของสังเคราะห์ขึ้นอยู่เจตนาในการใช้งาน
เพชรเทียมหรือเพชรเลียนแบบ มีอะไรบ้าง
- ของธรรมชาติ ได้แก่ เพทายสีใส
- ของสังเคราะห์ ได้แก่ Y.A.G. G.G.G. STRONTIUM TITANATE คิวบิคเซอร์โคเนีย รวมถึง แก้วใสด้วย

วิธีแยกเพชรแท้กับเพชรเลียนแบบ
วิธีที่ 1 ดูด้วยตาเปล่า ต้องพิศอย่างพิถีพิถันให้สังเกตเหลี่ยมมุมของเพชร ฝึกดูบ่อยๆ จะเห็นความแตกต่างได้ว่าเหลี่ยมมุมของเพชรจะเรียบ คม ชัดกว่าเพชรเลียนแบบมากเพราะเพชรมีความแข็งเป็นเลิศ เพราะฉะนั้นเหลี่ยมมุมที่เจียระไนจะคมกว่าพลอยอื่นซึ่งมึความแข็งน้อยกว่า

วิธีที่ 2 ใช้ได้เฉพาะดูเพชรรูปกลมเหลี่ยมเกสร ที่เป็นเม็ดๆ ไม่อยู่ในตัวเรือน ที่สำคัญต้องได้สัดส่วนที่ดีด้วย วิธีนี้เรียกว่า วิธีมองทะลุ (Read Through Test)

วิธีการง่ายๆ คือ วางเพชร หรือเพชรเลียนแบบที่ต้องการทดสอบบนเส้นตรงหรือตัวหนังสือสีดำ แล้วมองผ่านจากด้านบนของเพชร (เพชรจะไม่สามารถมองทะลุได้ ในขณะที่เพชรเลียนแบบส่วนใหญ่จะมองทะลุได้ หมายถึงมองเห็นเส้นดำข้างใต้)

วิธีที่ 3 ใช้น้ำยา Methelyne Iodide หรือ น้ำยาสำหรับหาความถ่วงจำเพาะของพลอย ปกติน้ำยานี้มีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 3.32 เพชรมีความถ่วงจำเพาะ 3.52 ส่วนเพชรเลียนแบบอื่นๆ มีความถ่วงจำเพาะหนักกว่าเพชรทั้งหมด (เกิน 4) เมื่อนำเพชร หรือเพชรเลียนแบบนั้นมาจุ่มน้ำยาเพื่อหาค่าความถ่วงจำเพาะ เพชรจะค่อยๆ จมลงในน้ำยา ในขณะที่เพชรเลียนแบบจะจมลงอย่างรวดเร็ว เทียบกับทับทิมก็ได้ ทับทับจะมีความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 4 ดังนั้น เพชรจะจมช้ากว่าทับทิม ในขณะที่เพชรเลียนแบบจะจมเร็วกว่าทับทิม

วิธีที่ 4 วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้เครื่องมือจี้เพชร (เครื่องนี้บางทีเรียกกันว่า Presidium) ซึ่งตรวจได้ทั้งเพชรที่อยู่ในตัวเรือนและเพชรร่วง เครื่องมือนี้ใช้หลักการนำความร้อน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Thermal Conductivity เพราะเพชรเป็นสารที่นำความร้อนได้ดีกว่าพลอยชนิดอื่นที่นำมาเลียนแบบจึงนำเครื่องนี้มาใช้แยกเพชรได้

วิธีการ เพียงแค่ใช้ปลายเข็มทองแดงจี้กดลงบนหน้าเพชร กระแสไฟฟ้าจะผ่านจากปลายเข็มไปที่เพชร ถ้าเป็นเพชรจริงเข็มวัดจะเคลื่อนไปที่ส่วนของ Diamond แต่ถ้าเป็นเพชรปลอมเข็มจะเคลื่อนที่ไปไม่ถึง

Tags : เพชรรัสเซีย, เพชรสวิส, ซีแซด, เพชรเทียม, เพชรสังเคราะห์, เพชรcz

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

เพชรกลม 1.00 กะรัต น้ำ97 คุณภาพ VVS2

📢📢มาอีกแล้วค่า โปรโมชั่นเพชรสวยๆ 📢📢

🤑จากราคาปกติ " 342,000 บาท "
พิเศษสุดๆ เสนอขายในราคาเพียง “  260,000 บาท " 😉

💎เพชรกลม 1.00 กะรัต เพชรน้ำขาวใส เพชรน้ำ97   เนื้อเพชรสะอาด คุณภาพ VVS2 การเจียระไน ขัดเงาและความสมมาตร 3Excellent มาพร้อมกับ H&A = EX เพชรเม็ดนี้เล่นไฟระยิบระยับสวยสุดๆคร้า...สุดยอดแห่งความเพอร์เฟค มีใบรับรองจากสถาบันอัญมณีระดับโลก GIA 5181051857

ดร.สันต์ เจมส์ อะร่า
Gems Ara by Dr. Saint
0918078228

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560

โลหะทำพระเหรียญ

ศิริโสฬส (แพะ สงขลา)
        มีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโลหะผสมในวงการพระเครื่อง ที่ผู้เขียนได้พยายามหาความกระจ่างมาโดยตลอด เกี่ยวกับโลหะบางชนิดที่วงการพระเครื่องเรียกขานกัน เนื่องจากในสมัยก่อนที่ยังไม่ได้เข้าวงการพระ ผู้เขียนเคยได้ยินว่า มีธาตุโลหะอัลปาก้าทองฝาบาตร โลหะขันลงหิน ฯลฯ แต่ก็ไม่เข้าใจ มาได้ยินการเรียกชื่อโลหะเหล่านี้อีกครั้ง เมื่อได้เข้ามาสัมผัสวงการพระ และหาผู้ที่สามารถคลี่คลายข้อข้องใจนี้ไม่ได้ เพิ่งมาได้รับความกระจ่างแจ้งเมื่อได้พูดคุยกับ คุณศิริชัยยิ้มตระการ เจ้าของโรงงานอรุณชัยการช่าง และบริษัท อรุณชัยเมดดัลเลี่ยน จำกัด จ.ชลบุรีโดยท่านได้ให้ข้อมูลว่า

         โลหะทองเหลือง เป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี โดยมีสัดส่วนทองแดง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ สังกะสี ๒๕ เปอร์เซ็นต์

          ส่วน ทองฝาบาตร คือทองเหลืองที่ผ่านการปั๊ม (พระที่ทำด้วยทองเหลืองด้วยกรรมวิธีปั๊ม) เพียงแต่เขามาเรียกให้โก้ๆ เท่านั้นเองเพื่อจะได้จำหน่ายพระในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากคนทั่วไปไม่รู้ว่า แท้ที่จริงก็คือทองเหลืองล้วนๆ นั่นเอง

          สำหรับโลหะที่เรียกว่าขันลงหิน นั้นเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก โดยมากโลหะขันลงหินจะนิยมใช้ทำระฆัง เนื่องจากเวลาเคาะเสียงจะดังกังวาน ไพเราะเสนาะหู แต่มีข้อเสีย คือ ใช้เชื่อมไม่ได้เนื่องจากโลหะทุกชนิดที่ผสมด้วยดีบุกจะแตก เมื่อมีการเชื่อมเกิดขึ้น ดังนั้นระฆังส่วนมากท่อนล่างจะเป็นขันลงหิน ส่วนท่อนบนจะเป็นทองเหลือง

   

           โลหะอีกชนิดหนึ่งที่วงการพระพูดถึงเสมอคือ นวโลหะ ตามสูตรโบราณ หมายถึงโลหะ ๙ ชนิดที่หลอมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ประกอบด้วยโลหะ ๕ ชนิด เรียนว่าเบญจโลหะ ได้แก่ เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน ทองคำ (ทองเป็นเกล็ดหรือทองเป็นก้อนซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ) ถ้าเพิ่มอีก ๒ ชนิด คือ เจ้าน้ำเงิน (แร่ผสมชนิดหนึ่งมีพลวงเป็นส่วนผสมหลักสีเขียวเป็นสีน้ำเงิน) และสังกะสี รวมเป็น ๗ ชนิด เรียกว่า สัตตโลหะ (สัตตะ=เจ็ด) และถ้าเพิ่มอีก๒ ชนิด คือ ชิน (โลหะผสมชนิดหนึ่งประกอบด้วยตะกั่วและดีบุก นิยมใช้ทำพระเครื่อง) และบริสุทธิ์ (คือทองแดงบริสุทธิ์) รวมเป็น ๙ ชนิด เรียกว่า นวโลหะ (นวะ=เก้า)

          พระเครื่องที่สร้างด้วย เนื้อนวโลหะ แบบโบราณนั้นสร้างได้ยากมาก เพราะส่วนมากผู้สร้างพระมักจะหาโลหะสำคัญบางชนิดไม่ได้ เช่น ชิน (ดีบุกผสมกับตะกั่ว) เจ้าน้ำเงิน (คนส่วนมากไม่ทราบว่าเป็นโลหะอะไร) จึงทำให้ยุคหลังๆ การสร้างพระเนื้อนวโลหะ มักจะไม่เต็มสูตร

          เหรียญเนื้อนวโลหะ ที่เรียกกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ผสมด้วยโลหะ๙ ชนิดแบบสมัยก่อน อย่างเช่น เจ้าน้ำเงิน ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นโลหะอะไร มีลักษณะแบบไหน ถามหาผู้รู้ก็ไม่มีใครทราบ

          นอกจากนี้ส่วนผสมหลัก คือ ทองคำ ก็มีราคาแพงมากเวลาทำเหรียญเนื้อนวโลหะโดยทั่วไปจึงไม่มีใครใส่ทองคำกันแล้ว

          ดังนั้นทุกวันนี้เหรียญเนื้อนวโลหะจะมีส่วนผสมเพียง๓ อย่างเท่านั้น คือ ทองแดง ๘๕ เปอร์เซ็นต์ เงิน ๑๐ เปอร์เซ็นต์ สังกะสี ๕ เปอร์เซ็นต์

    

          ส่วนโลหะที่เรียกกันว่าอัลปาก้า นั้น คือโลหะผสมระหว่างทองแดงกับนิกเกิลโดยยึดสัดส่วนเหมือนทองเหลืองคือ ทองแดง๗๕ เปอร์เซ็นต์ นิเกิล ๒๕ เปอร์เซ็นต์

          สำหรับเหรียญพระที่ทำด้วยเนื้ออัลปาก้านั้นทางโรงงานสมัยใหม่จะเรียกว่าเหรียญนิกเกิล

          อย่างไรก็ตามผู้เขียนยังไม่สิ้นความสงสัย เนื่องจากเคยได้ยินมาว่ามี โลหะอัลปาก้าเปลือย หรือเนื้อช้อนส้อมอีกชนิดหนึ่ง จึงได้ถามคุณศิริชัยว่า คือเนื้อโลหะชนิดใด ได้รับตอบว่า คือ โลหะผสมระหว่างทองแดง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ นิกเกิล ๒๕ เปอร์เซ็นต์ โรงงานปั๊มพระสมัยก่อน เวลาปั๊มพระแล้วแม่พิมพ์มักจะแตกบ่อยๆ หากมีส่วนผสมของนิกเกิลมากเท่าใด เนื้ออัลปาก้าจะแข็งมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงได้ลดสัดส่วนของนิกเกิลลงเหลือ ๑๗ เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้โลหะผสม (อัลปาก้า) นิ่มขึ้น เป็นการรักษาแม่พิมพ์ให้ทนทานยิ่งขึ้น จะได้ปั๊มเหรียญจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม

          คุณศิริชัยบอกด้วยว่า โลหะอัลปาก้า หากมีทองแดงเพิ่มมากขึ้นจะทำให้อัลปาก้ามีสีออกเหลืองมากยิ่งขึ้นตามสัดส่วนของทองแดง จึงป็นที่มาของ เนื้อช้อนส้อม หรือ อัลปาก้าเปลือย โดยปกติจะเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดง๘๓ เปอร์เซ็นต์ กับนิกเกิล ๑๗ เปอร์เซ็นต์

          สมัยก่อนวงการพระยังไม่นิยมเหรียญพระเนื้ออัลปาก้าเปลือยเพราะเนื้อเหรียญออกเหลืองๆ ไม่สวยงามจึงแก้ไขด้วยการนำไปชุบนิกเกิล ทำให้เหรียญมีสีขาวแวววาวน่าดูขึ้น

          มาถึงสมัยนี้ความนิยมเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากเหรียญเนื้ออัลปาก้าเปลือยมีความคมชัดลึกมากกว่าเหรียญเนื้ออัลปาก้าชุบนิกเกิล อีกทั้งในการพิจารณาพระแท้-เก๊ เหรียญเนื้ออัลปาก้าเปลือยจะดูได้ง่ายกว่าเหรียญเนื้ออัลปาก้าชุบนิกเกิลจึงทำให้ทุกวันนี้ นักสะสมเหรียญพระเปลี่ยนมานิยมเหรียญเนื้ออัลปาก้าเปลือยมากกว่าเหรียญเนื้ออัลปาก้าชุบนิกเกิล การเช่าบูชาเหรียญเนื้ออัลปาก้าเปลือย จึงมีราคาค่านิยมสูงกว่าเหรียญเนื้ออัลปาก้าชุบนิกเกิลเช่น เหรียญหลวงพ่อทวด วัดช้างให้รุ่นเลื่อนสมณศักดิ์ ปี ๒๕๐๘ และ เหรียญหลวงพ่อทวด วัดช้างให้พิมพ์พุทธซ้อน ปี ๒๕๐๙

          ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่ได้ฐานข้อมูลมาจากคุณศิริชัย ยิ้มตระการ เจ้าของโรงงานอรุณชัยการช่าง และบริษัท อรุณชัยเมดดัลเลี่ยน จำกัด จ.ชลบุรีท่านผู้อ่านหรือนักสะสมเหรียญท่านอื่นๆ อาจจะมีความคิดเห็นแตกต่างไปจากนี้ก็ได้