วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

ธุรกิจคลินิคจิวเวลรี่

สร้างธุรกิจระยะยาวเป็นหน้าที่ของเจ้าของ...
ความรู้ที่ได้รับ... ต้องได้ใช้เมื่อโอากาสมาถึง.. แล้วจะก้าวหน้าก่อนใครๆ

คอร์สความรู้จิเวลรี่.......ดูรายละเอียดคอร์สต่างๆ
http://gggschool.blogspot.com/
http://sanjewelrybuffet.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

มองให้ถึงเป้าหมาย


เรียนวันอาทิตย์ 9.00-17.00น. หรือวันจันทร์
เราสอนถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม
สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ
สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก
สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ
ที่ปรึกษาและฝึกอบรม ทั่วประเทศ
http://gggschool.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร 74130

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

หน้าที่ของเจ้าของ.. เพิ่มความรู้... สร้างโอกาสต่อ...

คิดว่าต้องทำ... เพื่อสร้างธุรกิจ...ก็เสริมความรู้ในสิ่งที่ต้องทำ
... ความสุขของลงมือทำ.. คือ.. ได้แสดงความสามารถของตน

คอร์สความรู้จิเวลรี่.......ดูรายละเอียดคอร์สต่างๆ
http://gggschool.blogspot.com/
http://sanjewelrybuffet.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

สอนดูเพชร. ดูเพชรแท้เพชรเทียม

เน้นดูเพชรแท้เพชรเทียม. และการประเมินราคาเพชร. เพื่อการซื้อขายและนำไปใช้ในวงการเครื่องประดับอัญมณี

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

SME กับ Startup ต่างกันอย่างไร?

SME กับ Startup ต่างกันอย่างไร? หลายๆท่านยังคงเข้าใจผิด แม้แต่รัฐบาลเอง ยังเข้าใจผิดว่า Startup ก็คือธุรกิจเกิดใหม่ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งไม่ใช่ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจในข้อแตกต่างระหว่าง SME กับ Startup
.

การก่อตั้ง

SME
คือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการผลิต การจำหน่าย รวมถึงการบริการเอง เป็นธุรกิจที่มีความเป็นอิสระดำเนินงาน ควบคุมดูแลกิจการแต่เพียงผู้เดียว เช่น  ร้านอาหาร  ร้านกาแฟ หรือ แม้แต่แม่ค้า Online

Startup
ก่อตั้งโดย Co-founders ใช้ทีมงามค่อนข้างน้อย ทำงานค่อนข้างหนัก ซึ่งส่วนมากการหา Co-founders คือต้องมีทั้ง
Hustler ซึ่งดูแลเรื่อง Business เป็นหลัง ตั้งแต่หาเงิน หานักลงทุน ขายสินค้า หาลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่คือ ตำแหน่งของ CEO บริษัท
Hacker หรือ Developer ซึ่งดูแลเรื่องการเขียนโปรแกรม การ Coding ทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่คือ CTO
Hipster หรือ Designer คืองาน Design ให้สินค้า หรือบริการเป็นที่น่าใช้
.

ลักษณะธุรกิจ

SME
เป็นโมเดลธุรกิจเเบบดั้งเดิม ลอกเลียนง่าย มีตลาดรองรับอยู่แล้ว ธุรกิจจากสินค้าที่มีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้มีผู้ผลิตเข้ามาผลิตสินค้า หรือบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ยังไม่เพียงพอ เช่นการเปิดร้านกาแฟ ขายเสื้อผ้าออนไลน์ หรือ ร้านขายของชำ  SME อาจเริ่มต้นทำ

Startup
เป็นธุรกิจที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ และ นวัตกรรม  ซึ่งอาจจะไม่มีโมเดลธุรกิจแบบนี้มาก่อน มักจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดที่อยากจะแก้ไขปัญหาอะไรซักอย่าง Start Up ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น Startup ที่เกี่ยวกับการทำ Mobile application เพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของมนุษย์ หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น  รถยนต์ไฟฟ้า Tesla หรือ AI เพื่อทำงานแทนมนุษย์ในโรงงานอุตสาหกรรม
.

แหล่งเงินทุน

SME
ผู้ก่อตั้งใช้เงินทุนส่วนตัว หรือ เงินกู้ในการดำเนินธุรกิจ

Startup
สามารถเสนอขายไอเดีย เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มาร่วมทุน หรือ การระดมทุน Crowdfunding
.

การเติบโต

SME
การเติบโตของ SME นั้นจะค่อนเป็นค่อยไป เช่น ร้านอาหาร การที่จะเติบโตคือการขยายสาขา และ การใช้ทรัพยากรมนุษย์ ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น

Startup
เน้นการเติบโตแบบก้าวกระโดด มีเป้าหมายการเติบโตที่สูง ซึ่งการเติบโตเน้นการ scalable and repeatable คือการที่ แอพเเชท Line จะมีจำนวน User เพิ่มขึ้นจาก 1,000,000 คน เป็น 20,000,000 คน ก็อาจจะยังใช้พนักงานเท่าเดิม
.

อัตราการล้มเหลว

SME
59%   ของธุรกิจขนาดเล็กจะไปได้ดี

Startup
ปัจจัยในความสำเร็จของ Startup นั้นมากกว่า SME ทั้งเรื่องของนวัตกรรม เงินทุน จึงมีสถิติในต่างประเทศว่า 20% ของ Startup ไปได้ดี

ทั้งนี้การจะเลือกว่าจะทำ SME ดี หรือ Startup ดีนั้นต้องดูความเหมาะสมของแต่ละบุคคล แต่บอกไว้เลยว่า Startup นั้นหนักกว่า ยากกว่า และ เหนื่อยกว่ามาก หากคุณมีไอเดียแต่ยังไม่แน่ใจในตัวสินค้า แนะนำให้ทำการ Validate กับลูกค้า Persona ของคุณก่อนโดยใช้วิธี  Lean เพื่อลดความผิดพลาดว่าทำสินค้าหรือบริการออกไปแล้วไม่มีคนใช้

ทั้งนี้ข้อแตกต่างระหว่าง SME กับ Startup  นั้นยังมีอีกหลายปัจจัยมาก หากท่านไหนมีคอมเม้นท์เพิ่มเติม สามารถเพิ่มได้เลยครับ

IT (อิฐ) Lean Entrepreneur
MD@CreamStudio Cream Studio Gateway Ekamai

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

รวยด้วยธุรกิจแหวนเพชร.

เปิดคอร์สฟรี....(ค่าอาหาร200-) 091-8078228
1.หัวข้อ..Money skill. บริหารเงินอย่างไรให้มีใช้ตลอด 9.00-12.00น. วิทยากร..โค้ชชัย
2.หัวข้อ..รวยด้วยธุรกิจแหวนเพชร. 13.00-16.00น. วิทยากร. อ.สันต์
เราสอนถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม
สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ
สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก
สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ
ที่ปรึกษาและฝึกอบรม ทั่วประเทศ
http://gggschool.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร



วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

10 คำแนะนำคนรวย

บอกเล่าจากปากขง สตีฟ ไซโบลด์ เศรษฐีเงินล้านที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง เขาเป็นู้เขียนหนังสือ “คนรวยคิดกันอย่างไร” (How Rich People Think) และสัมภาษณ์เศรษฐีมาแล้วกว่า 1,200 คนทั่วโลก เขาเล่าว่าเมื่อ 6 เดือนก่อน เขาเข้าไปยังโรงงานของเขา ลูกน้องของเขา 3 คน วางมือจากการทำงาน และจ้องมองเขา พวกเขาพูดว่า เจ้านาย ท่านมีทั้งรถหรู และบ้านหลังงาม แต่พวกเรายังทำงานรับค่าจ้างที่มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำเล็กน้อย แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย หลังจากพูดคุยกัน 6 เดือนต่อมาลูกน้องของเขาเป็นเจ้าของรถบรรทุก มีกิจการของตัวเองแล้ว และนี่ คือ
10 คำแนะนำจากปากของเขาในวันนั้น
1.ในตลาดที่แข่งขันกันเสรี ใครอยากทำ เงิน เท่าไหร่ก็ได้
2. ปูมหลังของคุณ ประวัติการศึกษา และไอคิว ไม่เกี่ยวกันเลยกับการหา เงิน
3. การหา เงิน ให้ได้เร็วที่สุด คือ การ “แก้ปัญหา” ยิ่งปัญหาใหญ่เท่าไหร่ คุณก็จะทำ เงิน ได้มากเท่านั้น
4. อย่าไปฟังพวกที่บอกว่า ชีวิตคือ ความลำบาก อย่าหยุดนิ่งเฉย และอย่างเพิ่งพอใจเฉพาะหน้าในสิ่งที่มีวันนี้
5. ตั้งเป้าทำ เงิน ให้มากขึ้น ต้องกล้าคิดให้ใหญ่ เงินแสน เงินล้าน คุณทำได้ แต่ต้องเริ่มที่กล้าคิดก่อนว่าทำได้จริงๆ
6. สลัดความกลัวทิ้งไป คิดอย่างอิสระว่า เรามีโอกาส มีความเป็นไปได้ ที่จะทำ เงิน ได้มากมาย
7.ความร่ำรวยไม่ใช่สิทธิพิเศษเฉพาะคน มันเป็นสิทธิ์ของทุกคน หากคุณสร้างคุณค่าให้แก่คนอื่นได้ คุณจะอยากรวยแค่ไหนก็ได้
8. อย่ารอราชรถมาเกย ไม่มีใครมาตามหาคุณ แล้วทำให้คุณรวยหรอก อยากมี เงิน ต้องทำเอาเอง
9. เลิกคิดเรื่อง เงิน จะหมดได้แล้ว ไปคิดว่าจะหา เงิน มาเพิ่มอย่างไรดีกว่า การที่มัวแต่นั่งกังวล มันทำลายความฝันที่จะประสบความสำเร็จ
10. หยุดคิดเสียทีว่า ชาตินี้เราคงไม่รวย เพราะการทำ เงิน ได้ เราต้องมีความมั่นใจในตัวเองก่อน Source : BusinessInsider หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - http://terrabkk.com/?p=142055

ขายให้ใคร..

คิดจะทำธุรกิจให้สำเร็จ ต้องรู้จักผู้คน 4 แบบ

แบบที่ 1 คนไม่มีปัญหาให้แก้ และมีเงิน
แบบนี้เขาไม่ได้มีความต้องการอะไร
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย

แบบที่ 2 คนมีปัญหาให้แก้ แต่ไม่มีเงิน
แบบนี้เขาไม่มีปัญญาจะจ่าย
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย
อาจต้องช่วยเหลือแบบการกุศล

แบบที่ 3 คนไม่มีปัญหาให้แก้ และไม่มีเงิน
แบบนี้จริง ๆ ปัญหาเขาคือไม่มีเงินนั่นแหละ
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย

แบบที่ 4 คนมีปัญหาให้แก้ และมีเงิน
แบบนี้แหละคือลูกค้าของเรา
เพราะเขามีปัญหา และมีเงินจ่าย

ใครอยากทำธุรกิจให้สำเร็จ
ต้องหาคนแบบทีี่ 4 ให้เจอ
เพราะนี่แหละคือลูกค้าหลักของเรา

#บอยวิสูตร

"พวกคนรวยเขากำลังทำอะไรกัน?"

ถ้าเพียงแต่คุณจะรู้เหมือนผมว่า
"พวกคนรวยเขากำลังทำอะไรกัน?"

บอกตรง ๆ
แล้วคุณจะขี้เกียจไม่ลง

พวกเขาขยันมาก
พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์
พวกเขากำลังเชื่อมโยงกัน
พวกเขาพาคนเก่งมาเจอคนเก่ง
พวกเขากำลังคัดกรองสายพันธุ์

พวกเค้ามีโปรเจ็คท์ใหม่ทุกวัน
พวกเขากำลังจะเปลี่ยนประเทศ
และพวกเขากำลังจะทำอะไรอีกมากมาย
ที่ไม่ช้าก็เร็ว มันจะส่งผลกระทบถึงเราทุกคน

ยุคก่อน แค่เก่งบวกขยันก็รวยแน่
แต่ยุคนี้ ขยันผิดที่ เก่งผิดทาง ดังแบบไม่มีเพื่อน
ก็ไม่แน่ว่าจะรวย

เพราะฉะนั้นคนไม่เก่งแล้วยังขี้เกียจน่ะเหรอครับ?
ผมล่ะเป็นห่วงจริง ๆ
เกรงว่าวันข้างหน้าจะไม่มีที่ยืน

ว่ากันว่าในอนาคตชนชั้นกลางจะหายไป
เปล่าครับ ไม่ใช่ขยับไปเป็นคนรวย
แต่ขยับลงมาเป็นคนจนต่างหาก!

โลกในอนาคต ถ้าไม่รวยก็จนไปเลย

อ่านมาแบบนี้ คงมีบางนึกด่าคนรวย
ก็ใช่สิ! ไอ้พวกนี้มันรวย มันโกงประเทศ

ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่ามีคนรวยเลว ๆ แบบนั้นจริง
แต่ผมไม่ได้หมายถึงคนรวยประเภทนั้น
ผมหมายถึงคนรวยที่สร้างตัวเองขึ้นมา
พวกเขาขยันมาก
...ขยันจนผมขี้เกียจไม่ลง

จำคำผมไว้
ช่องว่างคนจนกับคนรวยจะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

กฏ 80/20 จะกลายเป็น 95/5 หรือ 99/1 ไปเลย
จากทรัพยากร 80% ถูกครอบครองโดยคน 20%
จะกลายเป็นทรัพยากร 95%
ถูกครอบครองโดยคน 5%
เพราะพวกเขาเก่งและรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าคุณไม่ขยัน ถ้าคุณไม่ทำตัวเองให้เก่งขึ้น
ถ้าคุณไม่หัดสร้างคอนเน็คชั่น (ซึ่งสำคัญมากในยุคนี้)
มันก็มีแค่สองทาง

รวยหรือไม่ก็จนไปเลย

ขอให้โชคดีครับ

#บอยวิสูตร

ปั้นเพจให้ปัง

4 สิ่ง ถ้าทำได้ จะขายดี

1. ต้องปั้นเพจให้โต

ไม่ใช่การทำให้คนมากดไลค์เพจเยอะๆ แต่ต้องทำให้คนเห็นโพสต์เยอะๆ เมื่อมีคนเห็นโพสต์เยอะๆ จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ชอบเรื่องราวของเราแล้วกดไลค์เพจ จะทำให้เพจของเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเพจที่ซื้อไลค์สร้างภาพ

เพจที่ซื้อไลค์จะได้แค่ไลค์ แต่จะไม่ได้ใจ คือจะมีแค่แฟนเพจ แต่จะไม่มีแฟนคลับ ถ้าเรามองเฟซบุ๊คออก ไม่ว่าเราจะปั้นเพจไหนก็จะโตเพจนั้น และที่สำคัญ เพจของเราจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีคนคิดว่าเราซื้อไลค์ ทั้งๆที่เราไม่ได้ซื้อ (วันแรกก็เริ่มโตแล้ว)

ถ้าจะทำมาหากินบน Facebook อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เราจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาศึกษาวิธีการปั้นเพจอย่างจริงจัง นี่คือเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้ได้ เพราะถ้าเราปั้นเพจไม่เป็นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น

2. ต้องทำให้คนรู้จัก

ถ้ายังไม่มีใครรู้จักแบรนด์ของเรา อย่าเพิ่งรีบขายอะไรทั้งสิ้น ต้องทำให้คนรู้จักมักคุ้นกับแบรนด์ของเราก่อน “แค่เห็น” กับ “รู้จัก” นั้นต่างกันมาก แบรนด์ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน ทั้งบุคลิกและนิสัยใจคอ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ถ้าสร้างการรับรู้แบรนด์ไม่ได้ก็สร้างแบรนด์ไม่ได้

การทำให้ผู้คนรู้จักมักคุ้นกับแบรนด์ของเรา เป็นเรื่องของการนำส่วนประกอบต่างๆของแบรนด์ เช่น ชื่อแบรนด์, โลโก้, สี และอื่นๆ ไปไว้ในส่วนต่างๆของเพจ เพื่อให้แบรนด์มีตัวตนที่ชัดเจน ถ้าตัวตนของแบรนด์ไม่ชัด ผู้คนก็จะไม่รู้จักแบรนด์

ตัวอย่าง : หากเราตั้งชื่อเพจเป็นคีย์เวิร์ด เท่ากับว่าเพจของเราไม่มีแบรนด์ เพจของเราก็จะเป็นแค่เพจขายของธรรมดาทั่วๆไป จะไม่ใช่แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ จะเป็นเพียงวลียาวๆรกๆ ที่เต็มไปด้วยคีย์เวิร์ดหรือคำอธิบายประโยชน์ของสินค้า

เมื่อโพสต์ของเราวิ่งผ่านตาใครก็จะไม่มีใครรู้จักว่าคือแบรนด์อะไร ถึงแม้ว่าเราจะสามารถทำให้คนเห็นโพสต์วันละเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคน ก็จะเสียเที่ยวทั้งหมด เพราะไม่มีใครรู้จักแบรนด์ แบบนี้ถือว่าไม่ได้สร้างแบรนด์

3. ต้องทำให้คนรักและไว้ใจ

ความน่าไว้ใจ เป็นสิ่งที่อยู่สูงกว่าความน่าเชื่อถือ การทำให้ผู้คนไว้วางใจ ต้องมีความน่าเชื่อถือเป็นพื้นฐาน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีสร้างความน่าเชื่อถือ แม้ว่าเราจะไม่มีเว็บไซต์ก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับว่าเราใช้อะไรเป็นช่องทางในการทำตลาด แต่มันเกี่ยวกับว่าเราทำยังไงกับมัน

เพื่อให้เรามีความน่าเชื่อถือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำธุรกิจอย่างถูกกฎหมายและเสียภาษี (เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ใครๆก็ทำได้) เพราะถ้าแบรนด์ของเราไม่ถูกกฎหมายและไม่เสียภาษี แล้วใครที่ไหนจะมาเชื่อถือแบรนด์ของเรา เมื่อผู้คนไม่ให้ความเชื่อถือ เราก็จะไม่ได้ขาย

เมื่อแบรนด์ของเรามีความน่าเชื่อถือแล้ว ต่อไปก็เป็นการสร้างความน่าไว้ใจ ข้อนี้เป็นเรื่องพฤติกรรมของแบรนด์ล้วนๆ มันคือกุญแจไขหัวใจของผู้คน ให้เปิดรับข้อมูลจากแบรนด์ของเรา โดยแบรนด์ต้องทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมจนเป็นนิสัย ต้องมีคุณธรรมนำการค้า (ไม่ใช่การเสแสร้ง)

แบรนด์ต้องแสดงให้ผู้คนเห็นว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (ไม่ใช่การสร้างภาพ) ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า ต้องอิน ต้องทุ่มเท โดยทั้งหมดต้องแสดงออกอย่างคงเส้นคงวา เพราะลูกค้าต้องการที่พึ่งระยะยาว แบรนด์ต้องเสนอตัวเป็นที่พึ่งระยะยาวให้กับลูกค้า จึงจะได้รับความไว้วางใจ

4. ต้องทำตัวให้มีราคา

อย่ายัดเยียดข้อมูลสินค้าจนน่ารำคาญ การทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีต่อแบรนด์ถือเป็นการทำลายแบรนด์ จะทำให้ข้อมูลสินค้ากลายเป็นขยะ ไม่มีใครสนใจ อย่ามุ่งแต่ทำให้คนเห็นโพสต์เยอะๆ โดยไม่สนใจว่าคนเห็นแล้วรักหรือว่าเห็นแล้วเกลียด

อย่าขายสินค้า แต่ให้สร้างแบรนด์ แล้วขายแบรนด์ เพราะถึงแม้จะเป็นสินค้าคุณภาพสูงระดับเทพก็จะขายยาก หากเป็นแบรนด์ที่ผู้คนยังไม่รู้จักและเป็นแบรนด์ที่ผู้คนยังไม่ไว้ใจ (คนยังไม่ให้ราคา) ในขณะที่บางเพจที่ขายสินค้าแบรนด์ดังลูกค้าแย่งกันซื้อก็มี

อะไรปิดการขายให้เรา?

คำถามที่ 1 : ถ้าเรามีกระเป๋าถือที่ดูดีมีระดับอยู่สองใบ ซึ่งเหมือนกันทุกประการ ไม่มีอะไรต่างกันเลย นอกจากเป็นคนละแบรนด์กัน ใบแรกเป็นแบรนด์ที่ไม่มีใครรู้จักเลย ส่วนใบที่สองเป็นแบรนด์ดังที่ผู้คนรู้จักกันดี หากเราขายกระเป๋าถือทั้งสองใบนี้ในราคาที่เท่ากัน (เพราะเหมือนกันทุกประการ) คำถามคือคนจะซื้อกระเป๋าถือใบแรกหรือซื้อใบที่สอง?

คำถามที่ 2 : ให้คนสองคนไปสร้างเพจขึ้นมาคนละเพจ แล้วขายกระเป๋าถือแบรนด์ดัง ของแท้ และเป็นสินค้าตัวเดียวกันเลย คนแรกเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการกระเป๋าถือ ส่วนคนที่สองเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก คำถามคือคนจะซื้อสินค้าตัวนี้กับใคร จะซื้อกับคนแรกหรือจะซื้อกับคนที่สอง?

คำถามที่ 3 : ให้คนสองคนขายพระเครื่องรุ่นดัง ของแท้ และเป็นองค์เดียวกันเลย คนแรกเป็นใครก็ไม่รู้ ส่วนคนที่สองเป็นเซียนพระที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีในวงการพระเครื่อง คำถามคือคนจะซื้อพระเครื่ององค์นี้กับใคร และใครจะขายพระเครื่ององค์นี้ได้ราคาสูงกว่ากัน?

จาก คำถามที่ 1 เราจะเห็นว่า สิ่งที่ปิดการขายคือแบรนด์ของสินค้า (Product Brand) ไม่ใช่ตัวสินค้า (Product)

จาก คำถามที่ 2 และ คำถามที่ 3 เราจะเห็นว่า สิ่งที่ปิดการขายคือผู้ขาย (Personal Brand) ไม่ใช่แบรนด์ของสินค้า (Product Brand) และไม่ใช่ตัวสินค้า (Product)

โดยสินค้าต้องเป็นของดีระดับเทพ เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ขาย (เพื่อไม่ให้เสียแบรนด์) และเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำหรือบอกต่อ เพราะธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยลูกค้าประจำ ไม่ใช่ลูกค้าจร ถ้ามีแต่ลูกค้าจรเราก็ต้องวิ่งหาลูกค้าใหม่ไปทั้งชีวิต

เราจะเห็นว่าสิ่งที่ปิดการขาย คือ แบรนด์ของสินค้าและขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ขาย ไม่ใช่ตัวสินค้าที่ปิดการขายให้เรา และสิ่งที่ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นก็คือแบรนด์ของสินค้าและอยู่ที่ว่าใครเป็นผู้ขายเช่นกัน (แบรนด์ยิ่งดังราคายิ่งสูง, ผู้ขายยิ่งดังยิ่งขายได้ราคา)

จะเห็นว่าผู้ขายมีความสำคัญกว่าแบรนด์ของสินค้าและตัวสินค้าเสียอีกครับ เพราะความน่าเชื่อถือของคนจะส่งผลถึงสินค้าของเขา บางคนใส่ของแท้แต่คนตีเป็นของปลอมก็มี ในขณะที่บางคนใส่ของปลอมแต่คนตีเป็นของแท้ก็มีเช่นกันครับ (ถ้าขายตัวเองยังไม่ได้ อย่าเพิ่งขายอะไรทั้งสิ้น)

สินค้าแบรนด์ดัง ถ้าแกะโลโก้ออกไปให้หมด ให้เป็นแค่สินค้าที่ไม่มีแบรนด์ ก็จะไม่มีใครให้ราคา จะไม่มีใครอยากซื้อในราคาสูงๆ

แท้จริงแล้วผู้คนซื้อแบรนด์ เพราะต้องการความหมายในการใช้งานของแบรนด์ เพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน (ฐานะ, รสนิยม ฯลฯ) และซื้อความมั่นใจจากแบรนด์ เพราะต้องการแน่ใจว่าจะไม่ผิดหวัง ส่วนประโยชน์ในการใช้สอยสินค้าโดยตรงนั้นแทบจะเป็นประเด็นรองครับ

❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️

พบกับคอร์ส “สร้างแบรนด์บน Facebook แบบมืออาชีพ” (Professional Branding on Facebook) ครั้งต่อไป รุ่นที่ 35 วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2559 เวลา 09.00 - 17.00 น. จัดที่ The Emerald Hotel ถนนรัชดาภิเษก ค่าใช้จ่ายที่นั่งละ 15,000 บาท รับเพียง 30 ที่นั่งเท่านั้น ดูรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ http://www.BRANDING.co.th

ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาให้ความสนใจ

อลงกรณ์ ดอกดวง
Founder and CEO of BRANDING.co.th

BRANDING AND SOCIAL MEDIA MARKETING STRATEGY (THAILAND) CO., LTD.

http://www.BRANDING.co.th

❤️ ❤️ ❤️