วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

ทริคเด็ด! 6 เดือนกับ 20,000 ผู้ติดตามบน IG (ฉบับไม่ซื้อโฆษณา)


ทริคเด็ด! 6 เดือนกับ 20,000 ผู้ติดตามบน IG (ฉบับไม่ซื้อโฆษณา)

by SME Startup 05 กย. 2017

Text :Duckiez_Oil

    เดี๋ยวนี้เอะอะก็ซื้อโฆษณาโปรโมต IG เพราะไม่อย่างนั้นลูกค้าก็ไม่มีทางรู้จักแบรนด์ แต่เดี๋ยวก่อน แม้จะไม่ซื้อโฆษณาก็เพิ่มยอดผู้ติดตามใน IG ได้ แต่ต้องนำทริคที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ไปใช้ด้วย ซึ่งทริคนี้ New Territories ร้านขายขนมหวานในแมนฮัตตันใช้แล้วได้ผล โดยภายในเวลาเพียง 6 เดือน IG ของร้านมียอดผู้ติดตามสูงขึ้น 20,000 ราย

 

     ทริคที่ 1 : หาสไตล์ให้เจอ 

     ทุกโพสต์บน IG ต้องมีสไตล์ที่ชัดเจน อ่านแล้วรู้เลยว่าโพสต์นี้เป็นของแบรนด์อะไร เช่น ทุกโพสต์ของ New Territories จะเน้นสนุก เฮฮา ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเขียนโพสต์ยังไงให้สื่อถึงสไตล์ของแบรนด์ให้ลองเขียนโพสต์ขึ้นมา 10 โพสต์ จากนั้นเลือกใช้โพสต์ที่คิดว่าสื่อถึงสไตล์ของแบรนด์มากที่สุด และนำโพสต์นั้นไปเป็นโพสต์ตัวอย่างของการเขียนโพสต์ครั้งต่อไป 

 

     ทริคที่ 2 : เก็บฟีดแบ็กลูกค้า

     แบรนด์ต้องติดตามฟีดแบ็กของลูกค้าว่าพวกเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร สนใจสินค้าและบริการใดเป็นพิเศษเพื่อจะได้มีข้อมูลในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ออกมาตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เหมือนเช่นร้าน New Territories ที่เก็บทุกฟีดแบ็กที่เกี่ยวกับรสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบ เมนูขนมหวานที่โปรดปราน และนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาสูตรขนมหวาน และนำไปสร้างโปรโมชั่นพิเศษประจำสัปดาห์ (ซึ่งโปรโมชั่นที่ออกมาจะตรงกับความสนใจของลูกค้าที่สุด)

 

     ทริคที่ 3 : มีปฎิสัมพันธ์

     ไม่ว่าลูกค้าจะคอมเมนต์เชิงลบหรือเชิงบวก แบรนด์ก็ห้ามเพิกเฉย ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกคอมเมนต์ เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจและเห็นพวกเขาเป็นลูกค้าคนสำคัญ นอกจากนี้อาจสร้างความรู้สึกพิเศษให้ลูกค้าด้วยการมอบส่วนลด โปรโมชั่นพิเศษ หรือจัดงานอีเวนท์ วิธีการนี้ทำให้ลูกค้าต้องกดติดตาม IG ของแบรนด์เพราะไม่อยากพลาดสิ่งเหล่านี้ และอย่าลืมบอกให้ลูกค้าช่วยแชร์โพสต์ด้วย

 

     ทริคที่ 4 : อย่าลืมแฮชแท็ก

     ทุกโพสต์ต้องติดแฮชแท็กเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และจำไว้ว่าแฮชแท็กที่ช่วยให้ค้นเจอโพสต์ได้ง่าย คือ แฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับโพสต์และแบรนด์ ไม่ควรใช้แฮชแท็กเยอะจนเกินไป และถ้าไม่รู้จะใช้แฮชแท็กอะไร แนะนำให้เอาคีย์เวิร์ดของโพสต์มาตั้งเป็นแฮชแท็ก

 

     ทริคที่ 5 : ภาพจากลูกค้า

     การรีโพสต์ภาพถ่ายสินค้าจากลูกค้ามายัง IG ของแบรนด์เป็นเหมือนการนำรีวิวมาให้ลูกค้าคนอื่นๆ ได้อ่าน ซึ่งภาพจากลูกค้าช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ ช่วยให้ลูกค้าคนอื่นๆ ตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น และยังเป็นการบอกให้แบรนด์ได้รู้ว่า ลูกค้ามีความภาคภูมิใจที่ได้ใช้สินค้าของแบรนด์
 

www.smethailandclub.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

5 กับดัก ฉุดรั้งธุรกิจจนไม่เหลือกำไร

​5 กับดัก ฉุดรั้งธุรกิจจนไม่เหลือกำไร

by SME Startup 26 กย. 2017

Text : เจษฎา ปุรินทวรกุล

    ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจคงอยู่ได้คือสิ่งที่เรียกว่า “กำไร” แต่เชื่อหรือไม่ว่า ธุรกิจเกิดใหม่ส่วนใหญ่มักปิดตัวลงภายในไม่กี่ปีแรก เนื่องจากไม่สามารถบริหารจัดการธุรกิจให้มีกำไรได้เพียงพอ การขาดทุนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ตลกหรือน่าหัวเราะเยาะ เพราะแม้แต่ธุรกิจที่มีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างดีก็ยังมีโอกาสประสบปัญหาเรื่องการขาดทุนหรือผลกำไรน้อยกว่ารายจ่ายได้ โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้เราไม่มีกำไรเหลือเลยก็คือ
 
    1. ตั้งราคาต่ำ
     การตั้งราคา นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญในการทำธุรกิจของเราเอง ซึ่งการตั้งราคาจะสามารถกำหนดความสำเร็จในอนาคตได้ด้วย แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักตั้งราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินคู่แข่ง เพราะคิดว่าจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของตนเองมากกว่า โดยลืมคิดเรื่องต้นทุนของตัวเองว่า จริงๆ แล้วสูงกว่าคู่แข่งหรือไม่ แถมผู้ประกอบการบางคนยังตั้งราคาต่ำเกินไปจนเหลือกำไรน้อยมาก ดังนั้น ก่อนที่จะตั้งราคาจึงควรพยายามคำนวณต้นทุนอย่างระมัดระวัง และไม่ต้องกลัวที่จะตั้งราคาสินค้าที่มีคุณภาพและการบริการที่ดีในราคาที่สูง เพราะผู้บริโภคสมัยใหม่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งที่มีคุณภาพมากกว่า

    2. ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป
     ใครๆ ก็อยากให้ธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กรออกมาดี แต่การลงทุนที่มากเกินไปย่อมทำให้เกิดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงเป็นเงาตามตัวไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น คุณเพิ่งเริ่มธุรกิจด้วยพนักงาน 3 คน แต่กลับต้องการออฟฟิศบนพื้นที่ 100 ตารางเมตร หรือลงทุนซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่มาใช้ ทั้งๆ ที่สามารถซื้อขนาดเล็กแต่มีคุณภาพเหมาะสมต่อกำลังการผลิตในปัจจุบัน หรือแทนที่จะเช่ารถในการขนส่งสินค้าแต่กลับซื้อรถป้ายแดงมาใช้แทน หรือแม้แต่การตกแต่งออฟฟิศจนสวยหรูด้วยเงินผ่อน ตลอดจนการตั้งเงินเดือนที่สูงเกินไปของพนักงานและของตัวเราเอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เรามีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงมากๆ เพราะฉะนั้นพยายามคิดให้รอบคอบเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ อะไรที่จำเป็นต้องจ่าย และอะไรที่ไม่จำเป็นต้องจ่าย หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า เพราะหากค่าใช้จ่ายสูงก็ไม่ต่างกับเราขุดหลุมฝังธุรกิจของตัวเองทั้งเป็น

    3. ถูกค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นเล่นงาน 
     ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นคือ ค่าวัสดุสิ้นเปลืองในสำนักงาน ดินสอ ปากกา และค่าหมึกพิมพ์ นอกจากนี้ ยังมีค่าภาษีรายปี ค่าประกัน ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆ ค่าสินค้าเสียหาย เช่น ผลิตมาได้ 100 ชิ้น แต่ระหว่างขนส่งจนถึงช่องทางจำหน่ายสุดท้ายก่อนถึงมือลูกค้า สามารถนำไปวางขายได้เพียง 90 ชิ้น โดยอาจเสียหายตั้งแต่กระบวนการผลิต ระหว่างการขนส่ง สินค้าชำรุด และสุดท้ายสูญหายจากการถูกขโมยที่ร้านค้า ทั้งหมดนี้คือค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นสามารถดูดกำไรเราไปได้อย่างมหาศาล

    4. การแข่งขันที่รุนแรง
     บางครั้งเราก็สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้และมีกำไรเหลือในระดับหนึ่ง แต่วันหนึ่งโชคกลับไม่เข้าข้างเราเมื่อต้องมาเจอกับคู่แข่งที่มีเงินลงทุนสูงกว่า ซึ่งสามารถผลิตสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่า แถมยังขายสินค้าราคาต่ำกว่าเราโดยคุณภาพใกล้เคียงกัน หรือคู่แข่งผลิตสินค้าออกมาขายในราคาเท่ากับเรา แต่ใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพสูงกว่า ไม่ต้องบอกก็คงจะพอรู้ผลลัพธ์ว่าในระยะยาว ใครจะมียอดขายสูงกว่ากัน วิธีการแก้ไขคือ พยายามสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา คุณภาพ วัตถุดิบ และประสบการณ์ด้านบริการ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ถึงความแตกต่างอยู่เสมอ  

     5. ไม่มีใครรู้จักสินค้าของเรา
     ก่อนหน้านี้ประมาณ 10 กว่าปีก่อน ไม่มีใครรู้สรรพคุณของชาเขียว และผู้ประกอบการรายแรกที่ผลิตน้ำชาเขียวขึ้นมาขายก็ต้องพบกับความเหน็ดเหนื่อยในการสร้างการรับรู้ (Perception) ให้ความรู้ตลาด (Educate) ว่า ชาเขียวคืออะไร มีข้อดีหรือสรรพคุณอย่างไร ตลอดจนพยายามสร้าง Story ของชาเขียวต่างๆ นานา ซึ่งกว่าเจ้าชาเขียวจะติดฮอตฮิตติดตลาดได้ก็ใช้เวลาขับเคี่ยวอยู่นานพอสมควร เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าสินค้าของเราจะดีเลิศแค่ไหน ราคาเหมาะสมกับลูกค้า แต่ถ้าตลาดไม่รู้จัก ก็จะไม่กล้าซื้อ หรือซื้อน้อย ส่งผลให้เกิดกำไรที่น้อยตามไปด้วย เราจึงจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องการตลาดและการโฆษณา เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
 
     ทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัญหาส่วนหนึ่งที่จะทำให้ธุรกิจของเรามีกำไรน้อยลง เพราะในความเป็นจริงยังมีปัญหาในการทำธุรกิจอีกหลายแง่มุมที่พร้อมจะพลิกกำไรให้กลายเป็นขาดทุนอยู่ตลอดเวลา เช่น กำหนดกลุ่มเป้าหมายผิด ธุรกิจเติบโตเร็วเกินไปจนรับมือไม่ทัน เราจึงควรมีแผนธุรกิจ และแก้ปัญหาไปทีละข้อๆ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี

วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

Innovation เปลี่ยนโลก


นวัตกรรมจะทำให้เกิด disruption กับทั้งผู้ประกอบการในซัพพลายเชนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง ไม่น้อยไปกว่าความต้องการของผู้บริโภค การใช้เทคโนโลยีในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆ เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสร้างหนทางเพื่อความอยู่รอด ทั้งนี้ อีไอซีมองว่านวัตกรรม 2 แนวทางที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า ได้แก่ 1) นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (product innovation) ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สามารถเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภค และ 2) นวัตกรรมโมเดลธุรกิจ (business model) ที่นำเสนอรูปแบบและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค

 

2.1 นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (product innovation)

ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ นอกจากจะพลิกโฉมผู้เล่นในตลาดแล้ว ยังกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้เล่นอื่นในซัพพลายเชนของทั้งอุตสาหกรรมไปด้วย โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การผลิตทีวีที่เปลี่ยนไปจากการใช้จอ cathode ray tube (CRT) เป็น liquid crytal display (LCD) ซึ่งกินพื้นที่น้อยกว่า ประหยัดไฟกว่า รวมถึงให้ภาพที่คมชัดกว่า นวัตกรรมจอใหม่นี้ทำให้บริษัท Orion-Hanel ผู้ผลิตจอ CRT ที่เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ Orion ของเกาหลีและผู้ผลิตจอสัญชาติสหรัฐฯ Hanel ต้องยื่นล้มละลายไป เพราะปรับตัวไม่ทันเมื่อความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อราคาของจอ LCD ที่ลดลงจนแข่งขันได้กับจอแบบเก่า ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดการผลิต ผิดนัดชำระหนี้ค้างจ่ายค่าตอบแทนพนักงาน และกระทบกับรายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วน CRT ไปด้วย อย่างไรก็ดี นวัตกรรมใหม่ยังคงเกิดขึ้นเพื่อแทนที่ผลิตภัณฑ์เก่า เหมือนอย่างเช่น ที่จอ LCD กำลังจะถูกแทนที่ด้วยจอ OLED ในอนาคต ดังนั้น ผู้ผลิตที่ไม่ปรับตัวด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ หรือควบรวมกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้และอาจต้องออกจากธุรกิจไป

 

2.2 นวัตกรรมโมเดลธุรกิจ (Business Model Innovation)

 

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดโมเดลทางธุรกิจใหม่ขึ้นและกลายเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจแบบดั้งเดิม นวัตกรรมโมเดลธุรกิจอาจหมายถึงการดำเนินธุรกิจแนวใหม่ หรือการนำเทคโนโลยีมาปรับธุรกิจดั้งเดิมให้ทันสมัย สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ต่างไปจากเดิมได้ เช่น Amazon ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาเปลี่ยนวิธีการสั่งสินค้าแบบดั้งเดิม เป็นการสั่งสินค้าผ่านเว็บไซต์ และพัฒนาต่อเนื่องมาจนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ใครก็สามารถนำสินค้ามาซื้อขายกันเองได้โดยตรง หรือ นวัตกรรมโมเดลธุรกิจของบริษัท Phillips ที่พัฒนาโมเดลทางธุรกิจด้วยการนำเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) มาใช้ในการติดตามสถานะของหลอดไฟที่ติดตั้งไปแล้ว ทำให้สามารถรู้สถานะการทำงานของหลอดไฟและทำให้บริษัทสามารถควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา จนเกิดเป็นโมเดลใหม่ที่ขายแสงสว่างแทนการขายหลอดไฟแบบเดิม จากตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้เทรนด์ในการทำธุรกิจเปลี่ยนไปจากเดิม ผู้ประกอบการจึงควรทำความเข้าใจเทรนด์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจได้ทัน ทั้งนี้ อีไอซีมองว่า นวัตกรรมโมเดลธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยม และทำให้เกิดผลกระทบต่อซัพพลายเชนในวงกว้างคือ โมเดลธุรกิจแพลตฟอร์ม (platform business) และโมเดลการนำเสนอสินค้าในรูปแบบการบริการ (Product-as-a-Service: PaaS)

 

 

 Thailand, Supply chain, Innovation, Business, Platform business

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

ตารางเรียนล่าสุด เดือน10

ตารางเรียนล่าสุด  เดือน10

ตารางเรียน 1/10/2560(วันอาทิตย์)
1)คอร์สทำแหวนเพชรและประเมินราคาสำหรับค้าขาย(5,000บาท/วัน)
2)คอร์สการซ่อม,ฝังเพชร. (2,200/1วัน)
3)คอร์สชุบทอง ชุบเงิน (2,200บาท/1วัน)
4)คอร์สการซ่อม,ตัดต่อไซส์แหวน,ทำแหวนเพชร. (2,200/1วัน)
5)คอร์สกราฟิกดีไซน์ (15,000/5วัน)

ตารางเรียน 8/10/2560(วันอาทิตย์)
1)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลา(5,000บาท/วัน)
2)คอร์สการซ่อม,ตัดต่อไซส์แหวน,ทำแหวนเพชร. (2,200/1วัน)
3)คอร์สการซ่อม,ฝังเพชร. (2,200/1วัน)
4)คอร์สกราฟิกดีไซน์ (15,000/5วัน)

ตารางเรียน 15/10/2560(วันอาทิตย์)  #หยุดเรียน

ตารางเรียน 22/10/2560(วันอาทิตย์)
1)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลา(5,000บาท/วัน)
2)คอร์สการซ่อม,ตัดต่อไซส์แหวน,ทำแหวนเพชร. (2,200/1วัน)
3)คอร์สการขึ้นรูปแว็กซ์พื้นฐาน (2,200/1วัน)
4)คอร์สกราฟิกดีไซน์ (15,000/5วัน)

ตารางเรียน 29/10/2560(วันอาทิตย์)
1)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลา(5,000บาท/วัน)
2)คอร์สการซ่อม,ตัดต่อไซส์แหวน,ทำแหวนเพชร. (2,200/1วัน)
3)คอร์สการซ่อม,ฝังเพชร. (2,200/1วัน)
4)คอร์สกราฟิกดีไซน์ (15,000/5วัน)

$$$คอร์สเพิ่มเติมตามความต้องการของผู้เรียน
1.คอร์สทำกรอบพระขึ้นมือ (2,200/1วัน)
2.คอร์สผ่าพิมพ์ยาง (2,200/1วัน)
3.คอร์สดูเพชรแท้  เพชรเทียม (2,200/1วัน)
4.คอร์สซื้อขายเศษผงทองแท้ ทองเทียม (2,200/1วัน)

ถ้าต้องการเรียนให้ยืนยัน  เรียนเฉพาะวันอาทิตย์
1.ขึ้นตัวเรือนเงิน2 วัน  4,400
2.เข้ากรอบพระ 1วัน 2,200
3.กรอบพลาสติกกันน้ำ2วัน 4,400
***เพิ่มลดวันเรียนตามความชำนาญ

$$$$สามารถเพิ่มคอร์สที่สนใจและสอบถามได้$$$
คอร์สพิเศษ. ฝังพลอยในเทียน(โรงงาน)
1)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลา5,000บาท/วัน/คน
2)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลาเวลา. เน้นบริหารทั้งระบบ55,000บาท/3วัน/ไม่จำกัด
3)ฝังพลอยในเทียนกับการลดต้นทุนเวลาเวลา. เน้นบริหารทั้งระบบ95,000บาท/5วัน/ไม่จำกัด

### สนใจให้ยืนยันก่อนเรียน 3 วัน นะครับ
เรียนวันอาทิตย์ 9.00-17.00น. หรือวันจันทร์
เราสอนถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม
สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ
สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก
สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ
ที่ปรึกษาและฝึกอบรม ทั่วประเทศ
http://gggschool.blogspot.com/
คุณสันต์: 091-8078228 เฟสบุ๊ค: อ.สันต์ ฝังพลอยในเทียน
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
https://m.youtube.com/watch?v=XKctywP9YjI
"เพชร...เลอค่า ที่สุดแห่งอัญมณี" หลากหลายวิธีตรวจเพชรแท้-เทียม
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร 74130

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

8 สิ่งไม่ควรทำ จนสร้างหนี้ลืมตัวจ่ายหนี้หัวโต จากบัตรเครดิต

8 สิ่งไม่ควรทำ จนสร้างหนี้ลืมตัวจ่ายหนี้หัวโต จากบัตรเครดิต

รูดปิ๊ดๆ ใครๆ ก็นิยมทำกัน เวลาซื้ออะไรกินอะไร ยื่นบัตรแล้วรอบิล แหมมมม ช่างเท่ห์เสียนี่กระไร นั่นแหละ คือแนวคิดบ่มเพาะนิสัยการนำไปสู่หนี้ก้อนโตที่มาจากบัตรเครดิต และยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่นำไปสู้การสร้างหนี้ “อันมีผลต่ออนาคตของชีวิตในวันข้างหน้า”

แต่บัตรเครดิต ถ้าใช้เป็นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล ในการกำหนดการวางแผนการเงินเพื่อสร้างธุรกิจ หรือ แยะบัญชีการใช้จ่ายออกจากบัญชีธุรกิจ นี่เรียกว่า “ดาบสองคม”

คราวนี้มาดูกันเลยดีกว่าว่า จะมีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดหนี้จากบัตรเครดิตได้อย่างไร กับ 8 พฤติกรรมที่ไม่ควรประพฤติ มาดูข้อแรกกันเลย สำหรับข้อ

             1. คิดว่าใช้บัตรรูดแล้วคิดว่าดูดี ดูเท่ห์  อันนี้ชัดเจนเลย ตอบกับความเท่ห์ที่มาพร้อมๆ กับหนี้ พึงระลึกเอาไว้ว่า บัตรเครดิต “ควรรูดและใช้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น” และอย่าใช้เพราะ “ความเท่ห์”

2.ติดกับความสะดวกในการรูด ข้อนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะรูดแต่บัตรๆ เรื่องนี้ก็ต้องพึงระลึกอีกเช่นกันว่า การรูดบัตรบ่อยๆ ยิบๆ ย่อยๆ จะมีส่วนทำให้ติดเป็นนิสัย แล้วเมื่อรูดแล้ว ก็จะเป็นความเคยชิน กลายเป็นการเพาะหนี้ก้อนโตในที่สุด

3.ชอบทิ้งบิลที่คุณรูด อันนี้ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเก็บบิลเอาไว้ จะช่วย ย้ำเตือนว่า คุณได้ใช้จ่ายไปแล้วเท่าไหร่ พอรูดกำลังเพลินๆ เมื่อหันกลับมามองบิลจะได้รู้สึกว่าได้ใช้อะไรไปบ้างคุ้มหรือไม่? และยังเป็นส่วนช่วย ในเรื่องของการทำบัญชีเพื่อวางแผนทางการเงินสำหรับชำระเมื่อครบกำหนดชำระบัตรได้อีกด้วย

4.อย่ารูดจนเกินกำลัง (อย่าเป็นหนี้) การใช้บัตรเครดิตแต่ละครับ ถ้ารูดเกินกำลังหรือ เกินกว่าทความสามารถที่จะจ่าย คุณจะปวดหัวมากๆ เวลาครบดีล ฉะนั้นการใช้ควรกำหนดวงเงิน (ส่วนตัว) แล้วจำกัดการรูดให้อยู่ในกรอบนั้น ถ้าจะรูดเกินให้พึงระลึกไว้อีกเช่นกันว่า คุณกำลังก่อหนี้สะสม ถ้าในปริมาณที่น้อย คงพอจะขยับกระเบียดกระเสียรมาจ่ายได้ แต่ถ้ามากๆ เข้าจนติดเป็นนิสัย อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน

5.อย่าพยายามทำบัตรเครดิตใหม่หรือทำบัตรเสริม ในข้อ 5 นี่แบ่งออกเป็นสองกรณี คือบัตรหาย หรือ วงเงินเต็มแล้วทำเพิ่ม ข้อหลังนี่ แทบไม่มีข้อดีเลย เพราะถ้าบัตรหายแล้วทำใหม่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้า “เกินวงเงิน”  แล้วไปทำบัตรอื่นเพื่อมาหมุน มันก็จะเป็นวัฏจักรเป็นวงจรแห่งหนี้ที่ไม่รู้จบสิ้น หรือ จะจบสิ้นก็ทำเอาชีวิตและอนาคตเราแทบคลานกันเลยทีเดียว มีประสบการณ์จากคนที่เคยเจอเรื่องนี้มาแล้วนักต่อนัก ลองหาดูในโลกโซเชียล

6.ทำบัตรเครดิตทีเดียวหลายๆ ใบ อันนี้ ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะผ่านจากการให้เครดิตมา แต่การมีบัตรหลายๆ ใบอาจทำให้เกิดความสับสนในการใช้ แล้วทำให้ยอดเงินที่ใช้กลายมาเป็นภารในภายหลัง เพราะสำคัญเลยต้องไม่ลืมว่า บัตรแต่ละใบนั้น มีการกำหนดค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ยไว้ไม่เท่ากัน  ฉะนั้นป้องการการสับสนก็ไม่ควรทำสิ่งนี้เลยจะดีที่สุด

7.อย่าพยายาม กดเงินสดจากบัตรเครดิต เพราะอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอีกนั่นแหละ ที่จะกลายมาเป็นภารอันหนักอึ้งในยามคุณจะต้องจ่าย อย่างต่ำ ก็จะมีค่าธรรมเนียม 3% ส่วนดอกเบี้ยนั้นก็จะคิดอัตราที่ต่างออกไปจากการรูดแบบปกติ เป็นอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงหรือเท่ากับการกู้เงินสดเลยทีเดียว

และ ข้อสุดท้ายข้อ 8 .อย่าทำประกันหรือจ่ายค่าประกันโดยหักจากบัตรเครดิต แน่นอนว่าเมื่อเรามีเครดิต ก็จะมีธุรกิจต่างๆ เข้ามาเพื่อเสนอโน่นนี่นั่นให้เราพิจารณา และการประกันในโปรแกรมต่างๆ ที่เสนอมา ก็จะเน้นว่าสามารถชำระโดยการหักจากบัตรเครดิต แต่อย่างที่กล่าวมาแล้ว การใช้บัตรเครดิต ควรกำหนดจุดประสงค์ในการใช้อย่างชัดเจน ถ้าจะต้องใช้หักค่าเบี้ยประกัน ต้องคำนวณถึงความคุ้มค่าและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากกรณีนี้ให้ชัดเจนด้วย แต่ถ้าไม่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงเลยจะดีที่สุด เพราะบัตรเครดิตไม่ได้มีไว้สำหรับทำประกัน หรือ ใครคิดว่าจะใช้สำหรับทำประกัน เลือกทำบัตรเดบิตอาจจะดีกว่ามั้ย?

นี่แหละคือข้อต้องห้ามในการรูดปื๊ด ที่พึงจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะยื่นบัตรใช้จ่ายแต่ละครั้ง และยังเป็นภูมิป้องกันชั้นดีสำหรับการก่อหนี้ในอนาคต และเป็นแนวทางสำหรับการวางแผนทางการเงินจาการใช้บัตรเครดิตอย่างเหมาะสม ช่วยให้ชีวิตดี๊ดี และ ใช้บัตรเครดิตได้อย่างถูกต้องมีแบบแผนอย่างแท้จริง

ที่มา https://www.estopolis.com

วิธีคิดของ... "ผู้มีปัญญา"

☘วิธีคิดของ... "ผู้มีปัญญา"

คนเราเกิดมา มี "ปัญญา" สูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน ....

แต่....... "ขงจื๊อ" เห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อย ๆ สร้างสม พัฒนา "สติปัญญา" ให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้.....

มนุษย์ที่แท้....... จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็น และเข้าใจสิ่งนั้น! อย่างทะลุปรุโปร่ง และ เมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมดซึ่งก็คือ การใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง!..

ปัญหาของคนจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูล ที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป
·
อย่า! คิดกังวลว่า ใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า.... ขณะนี้! เรายังขาดคุณสมบัติข้อใด? ที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน และ......

อย่าเป็นกังวลว่า..... คนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่า..... ตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า จุดนี้คือ.....

"ขงจื๊อ" ต้องการให้คนเราเน้น! การพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ “ส่องนอก ไม่ส่องใน” และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก......
เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึง ความยุติธรรม ด้วย

"ขงจื๊อ" เห็นว่า..... มนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจ ผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น! เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่อง ความยุติธรรมอยู่เสมอๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่าย ๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้.....
·
นอกจากนี้ "ขงจื๊อ" ยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า......

เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องหัดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษา ก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก...

ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดา หรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝน การคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน

.............ขงจื้อ

Cr : หนึ่งเดียว หลุดพ้น