วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

กล้ามเนื้อคนเรา สลาย-สร้างตลอดเวลา

รู้หรือไม่! กล้ามเนื้อคนเรา สลาย-สร้างตลอดเวลา!

“มวลกล้ามเนื้อ” กระจกสะท้อนสุขภาพของคุณ

จากงานวิจัยใหม่ๆ บ่งชี้ว่า สุขภาพร่างกายกับกล้ามเนื้อนั้นสัมพันธ์กันเป็นอย่างยิ่ง เพราะโปรตีนและพลังงานที่เรากินเข้าไป จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอทุกวัน

แต่คุณรู้ไหมว่า กล้ามเนื้อในร่างกายคนเรามีการสลายอยู่ตลอดเวลา

โปรตีนหรือกล้ามเนื้อในร่างกายคนเรา มีการสลายและสร้างใหม่ตลอดเวลา 3%-4% ต่อวัน แต่ละบริเวณจะมีการสลายที่ต่างกันไป เช่น โปรตีนในเซลล์ลำไส้ จะมีการสลาย 30%-40% ทุกวัน จึงมีการสร้างใหม่เกือบทั้งหมดในรอบ 3 วัน และในส่วนกล้ามเนื้อ มีการสลายและสร้างใหม่เกือบทั้งหมดในรอบ 100 วัน (ประมาณ 3 เดือน)

กล้ามเนื้อแขนและขาที่แข็งแรง ช่วยให้เราเดินเหินได้ดี ใช้ชีวิตปกติได้โดยไม่พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขในครอบครัว การดูแลด้วยอาหารให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อทดแทนที่สลายไปในทุกวัน  เพราะหากปล่อยปละละเลย ในระยะสั้นอาจไม่สังเกตเห็นอาการอะไร แต่ในระยะยาวมวลกล้ามเนื้อจะลดลง บางรายจะผอมลง กล้ามเนื้อแขนขาเล็กลง หรือบางรายแม้น้ำหนักตัวมากก็อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจมีไขมันมากแต่กล้ามเนื้อน้อย เนื้อจะเหลวๆไม่เฟิร์ม นานวันเข้าจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียง่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง

วัย 60+ เหนื่อยง่าย อย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ

อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่อาการปกติของผู้สูงวัย ทั้งที่ความจริงแล้ว การศึกษาทางการแพทย์และโภชนาการใหม่ๆ พบว่า หากดูแลตั้งแต่อายุ 60+ เราอาจจะชะลออาการบางอย่างได้ เพื่อให้แข็งแรงสมวัย ไม่ทรุดโทรมกว่าวัย และมีความสุขทำสิ่งที่ตัวเองรักไปอีกนานๆ

งานวิจัยพบว่า ถึงแม้เราจะมีสุขภาพปกติ แต่มวลกล้ามเนื้อก็จะลดลง และหากยิ่งไม่ดูแลหรือมีโรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดัน จะยิ่งทำให้มีความเสี่ยงที่มวลกล้ามเนื้อจะลดต่ำเร็วกว่าคนอื่นๆ ดังนั้น การดูแลด้วยอาหารที่ถูกหลักโภชนาการสมัยใหม่ จะสามารถช่วยชะลอการลดลงนี้ได้เป็นอย่างดี

โปรตีน ฮีโร่คนสำคัญ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

นอกจากกล้ามเนื้อ โปรตีนยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน เอนไซม์ต่างๆ การขาดสารอาหารโดยไม่รู้ตัวนี้ จึงอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ภูมิคุ้มกันลด ป่วยง่าย แผลหายช้าลง ผิวพรรณแห้งคัน เคลื่อนไหวลำบากไม่เหมือนที่เคย ดังนั้นหากมวลกล้ามเนื้อลดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนสุขภาพร่างกายของเรา

ถึงเวลาดูแล และชะลอไม่ให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเร็วกว่าที่ควร

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต้องทำควรบคู่กับการกินอาหารที่ถูกวิธีดังนี้

1. โปรตีนต้องเพียงพอต่อวัน

สำหรับผู้ที่สุขภาพปกติควรกินโปรตีนประมาณ 1 กรัม : น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม : ต่อ 1วัน  เช่น หากเราน้ำหนัก 55 กิโลกรัม ก็ควรกินโปรตีน 55 กรัมต่อวันค่ะ
(ประมาณโปรตีน: ไข่ขาว 1 ฟอง ให้โปรตีนประมาณ 3.5 กรัม, เนื้อ หมู ไก่ ปลา 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 20-23 กรัม)

2. แบ่งทานโปรตีน 3 มื้อให้เท่ากัน

เพราะกล้ามเนื้อสลายและสร้างตลอดเวลา การแบ่งกินโปรตีนให้เท่ากัน 3 มื้อจะดีกว่าเน้นกินโปรตีนแค่ 1-2 มื้อ เพราะถึงกินเยอะใน 1 มื้อแต่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้จำกัด การแบ่งกิน 3 มื้อจึงสำคัญ

แต่ปกติแล้ว ช่วงเช้าเราจะกินน้อย กินไม่ลง ทั้งๆที่ท้องว่างไม่ได้รับโปรตีนมาทั้งคืน จึงพบว่าช่วงเช้านี่แหละเป็นช่วงที่คนเราขาดโปรตีนในการสร้างกล้ามเนื้อ  การเสริมโปรตีนในตอนเช้าจึงสำคัญ

3. เลือกทานโปรตีนที่มีคุณภาพสูง

เมื่อทานอาหารได้น้อยลง เราจึงควรกินโปรตีนที่ร่างกายดูดซึมเอาสร้างกล้ามเนื้อได้ดีที่สุด ซึ่งโภชนาการสมัยใหม่พบว่า เวย์โปรตีน มีคุณภาพดีที่สุดในการสร้างกล้ามเนื้อ แถมย่อยง่าย ดูดซึมง่าย มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทั้ง 8 ชนิด และมีกรดอะมิโนลิวซีนที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อเข้มข้นที่สุด แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้รับปริมาณโปรตีนและสารอาหารที่สมดุลสำหรับผู้สูงวัย

ไม่ใช่แค่โปรตีน แต่ดูแลสุขภาพให้ครบ 6 เหลี่ยมสุขภาพ

นอกจากโปรตีนแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น คนส่วนใหญ่มักกินอาหารได้น้อยลง หรือกินอาหารซ้ำๆ ไม่หลากหลาย อาจทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงมีแนวคิดจากความรู้โภชนาการสมัยใหม่ เป็นเคล็ดลับในการดูแลให้ครบ 6 เหลี่ยมสุขภาพให้แข็งแรงสมวัยดังนี้ค่ะ
ดูแลให้ครบ 6 เหลี่ยมสุขภาพ สารอาหารโภชนาการแนวใหม่

1. ดูแลให้ได้รับพลังงานและโปรตีนเพียงพอต่อวันเพื่อซ่อมแซมร่างกาย

2. ดูแลให้ได้รับแคลเซียมและวิตามินดีสูง เพื่อดูแลกระดูกและการเคลื่อนไหว

3. ดูแลให้ได้รับใยอาหาร และจุลินทรีย์ชนิดดี เพื่อสร้างสมดุลระบบขับถ่าย

4. ดูแลให้ได้รับวิตามินอีสูง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

5. ดูแลให้ได้รับไขมันชนิดดี ที่เรียกว่า MUFA เพื่อดูแลไขมันในเลือด

6. ดูแลระบบประสาทสมอง ด้วยโคลีน และวิตามินบี 12
เปิดใจรับนวัตกรรมใหม่  ผู้สูงวัยดื่มผลิตภัณฑ์ที่ถูกหลักโภชนาการทุกวัน

ในการดูแลสุขภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ไม่ง่ายเลยที่จะทานอาหารให้ครบทั้ง  6 เหลี่ยมสุขภาพ ทางผู้เชี่ยวชาญจึงได้มีการคิดค้นอาหารเสริมสูตรครบถ้วน ที่พัฒนาสำหรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ ให้ได้รับสารอาหารครบ 6 เหลี่ยมสุขภาพใน 1 แก้ว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ได้รับความนิยมในยุโรปและอเมริกา เพราะช่วยดูแลสุขภาพผู้สูงวัยให้แข็งแรงสมวัย ใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข ซึ่งผู้สูงวัยควรดูแลด้วยการดื่มเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 แก้ว

อาหารสูตรครบถ้วนนี้ ไม่ใช่นมนะคะ แต่เป็นการพัฒนานำเอาอาหารครบ 5 หมู่ วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนกว่า 30 ชนิด มารวมกันในรูปแบบผงเพื่อชงดื่ม เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายผู้สูงวัยในแต่ละวัน

ดื่มง่ายๆใน 1 แก้ว ด้วยอาหารสูตรครบถ้วนโดย Nestle Health Science

ที่เนสท์เล่ เรามีศูนย์วิจัยทางโภชนาการ พัฒนาสินค้าที่ตรงตามหลักโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ดูแลครบทั้ง 6 เหลี่ยมสุขภาพใน 1 แก้ว ซึ่งเป็นอาหารครบ 5 หมู่ ในรูปแบบผง ชงง่าย ย่อยง่าย ดูดซึมง่าย รสชาติอร่อย เป็นสูตรเฉพาะที่คัดสรรวัตถุดิบที่ดีให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่การเลือกใช้เวย์โปรตีน เป็นโปรตีนคุณภาพสูง, เลือกใช้ไขมันชนิดดี, เพิ่มจุลินทรีย์สุขภาพ, มีวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น มีวิตามินอีสูง มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง มีโคลีนและวิตามินบี 12 สามารถดื่มเสริมวันละ 1-2 แก้วได้ทุกวันอย่างปลอดภัย และได้รับการยอมรับและใช้จริงจากแพทย์ นักโภชนาการ ในโรงพยาบาลชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ทำการผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้คุณมั่นใจได้ด้วยสินค้าคุณภาพจากเนสท์เล่

เริ่มดูแลสุขภาพแบบถูกหลักโภชนาการตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เรามีช่วงแห่งความสุขกับคนที่คุณรักในครอบครัวไปอีกนานๆ

สนใจข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมคลิกที่นี่ > อาหารสูตรครบถ้วนเมื่อสูงวัย ที่ทำจากเวย์โปรตีน <

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ช่างทองหลวง

เมื่อวานแวะไปดูผลงานนักศึกษากาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง  ที่เซนทรัลศาลายา...งานวันที่27-28 นี้
..จากจินตนาการมาเป็นผลงานสวยงาม...คงฝึกฝนดี..มีอาจารย์เก่งๆคอยสอนเทคนิคการผลิต
..เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมโรงงานเครื่องประดับต่อไป
..แวะเยี่ยมให้กำลังใจน้องๆกันบ้างครับ..

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ถ้าไม่อยากให้แบตเสื่อมเร็ว


อันตราย!! เลิกซะ “ถ้าไม่อยากให้แบตเสื่อมเร็ว” ความจริงที่คนไทยเข้าใจกันผิดมาตลอด..!!!
2:38:00 AM  News

เรามีพฤติกรรมการใช้ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog มีวิธีการดูแลแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง ด้วยการ “ห้ามทำ” พฤติกรรมแบบนี้ กับ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ของเรา จะมีข้อห้ามอะไรบ้าง มาชมกันเลยดีกว่าครับ

การชาร์จแบตเตอรี่ ถือว่า เป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกได้ว่า แบตเตอรี่จะใช้ได้ยาวนาน หรือเสื่อมเร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน นั้น ควรจะปล่อยให้พลังงานแบตเตอรี่ เหลือเกิน 50% จะดีที่สุด ยิ่งเราปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือ 0% บ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญ อย่าพยายามชาร์จจนเต็ม 100% เพราะนั่นก็คือเป็นสาเหตุที่ทำให้

แบตเตอรี่ค่อยๆ เสื่อมอายุลง ฉะนั้น ถ้าหากแบตเตอรี่ลดลงถึงระดับ 40% ก็ควรจะหยิบสายออกมาชาร์จกันได้แล้ว และควรจะชาร์จให้อยู่ที่ระดับ 90% นะครับ อย่าเสียบชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน หรือถ้าต้องการชาร์จให้เต็ม 100% ควรจะทำแค่เดือนละหนก็พอครับ

เมื่อชาร์จแบตเต็มแล้วก็ควรรีบถอดที่ชาร์จออก: เนื่องจากสถานะการชาร์จแบตเต็มนั้นก็เหมือนกับกล้ามเนื้อของเราที่กำลังตึงเครียดอยู่ การที่เราถอดที่ชาร์จออกจะช่วยทำให้แบตเตอรี่ “ผ่อนคลาย” และไม่มีแรงดันสูง

ควรชาร์จแบตบ่อยๆ: มีหลายคนมักจะรอจนกว่าแบตใกล้จะหมดแล้วจึงจะนำไปชาร์จ แต่การวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า เราควรจะปล่อยให้พลังงานแบตเตอรี่เหลือเกิน 50% จะดีที่สุด แต่เนื่องจากทุกคนไม่สามารถทำตามได้ ที่ดีที่สุดก็คือมีเวลาก็หยิบสายออกมาชาร์จกันได้แล้วและควรจะชาร์จให้อยู่ที่ระดับ 90%

อย่าปล่อยให้มือถือร้อนเกินไป: ถ้าคุณรู้สึกว่ามือถือของคุณร้อนมาก เวลาชาร์จแบตให้ถอดเคสออกจะดีกว่า เพื่อให้มือถือสามารถระบายความร้อนได้และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้มือถือไปโดนแสงแดดนะคะ

การชาร์จแบตนี้มันมีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยตรง ถ้าคุณพบว่าแบตเตอรี่ของมือถือคุณหมดเร็วมาก คุณต้องเริ่มใส่ใจและลองทำตามวิธีการดูแลแบตเตอรี่ที่เรามาฝากแล้วล่ะ จะได้ทำให้แบตเตอรี่ของคุณเสื่อมช้าลงและใช้ได้นานๆ

ขอบคุณ ที่มา:http://www.pandank.com/bike8

ธุรกิจ Startup

ธุรกิจ Startup
18 พฤษภาคม 2017 เวลา 06:19 น.

จะทำอย่างไรเมื่อคุณต้องการค้นหา Dream Team ที่ช่วยทำให้ไอเดียเป็นจริง แต่คุณไม่มีเงินจ้างใคร!
หากคุณเป็นหนึ่งในstartupไฟแรง คุณย่อมต้องการ Dream Team ที่จะช่วยให้ไอเดียการทำธุรกิจเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม  และสำหรับstartupแน่นอนว่าหนึ่งในปัญหาส่วนใหญ่นั้นหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘เงินทุน’ ที่จะจ้างพนักงาน  ซึ่งอย่างไรก็ตามมันก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะคุณแค่ต้องตามหาผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founders) ที่เต็มใจจะทำงานกันด้วย Passion เดียวกันเท่านั้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า สุดยอด Co-Founders นั้นเปรียบเสมือนกับแร่ไอเทม หรือสัตว์ป่าหายาก ไม่มีทางที่โยนหินไปแล้วเจอได้เหมือนเด็กจบปริญญาตรี ดังนั้นการค้นหาจึงต้องเริ่มต้นขึ้น

แน่นอนว่าธุรกิจของคุณเริ่มต้นมาจากไอเดีย เพราะฉะนั้นคุณกำลังเริ่มต้นกับความเสี่ยง และจำเป็นต้องโน้มน้าวคนอื่นให้มาร่วมงานกับคุณ ซึ่งมันอาจแทบเป็นไปไม่ได้เลยโดยเฉพาะหากคุณไม่มีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่รองรับ ไม่เคยทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาก่อน หรือมีนักธุรกิจมือทองอย่าง Warren Buffett ให้การสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

หากไม่มีคุณสมบัติข้างต้นแล้ว ในช่วงเริ่มต้นสิ่งที่คุณจะต้องรู้ว่าในบริษัทหนึ่งนั้น ผู้ก่อตั้งธุรกิจมักจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาแล้วด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามันเปรียบเสมือนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง การค้นหา Co-Founders จึงต้องมองหาผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจที่มีทักษะอะไรที่เราไม่มี หรือทักษะที่เสริมกัน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องจ้างอีกบริษัทนอกองค์กรมาทำ อาทิ บริษัทstartupหนึ่งบริษัทอาจจะต้องมีคนหนึ่งที่เก่งการออกแบบเว็บไซต์ ขณะที่อีกคนสามารถเขียนโค้ดได้ ซึ่งเป็นความสามารถทางเทคนิค และอีกคนที่มีความสามารถทางด้านการตลาดการขาย

ซึ่งการจะดึงดูดเหล่า Co-Founders ได้นั้นตัวคุณเองก็จำเป็นต้องเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่ง ในขั้นที่ร้ายกาจทีเดียว อย่าง startup ผู้ก่อตั้ง Soundwise นามว่า Natasha Che ช่วงที่เธอเริ่มหา Co-Founders ด้านเทคโนโลยีว่า การหา Co-Founders นั้นยากกว่าการหาคู่ค้า (Business Partner) ถึง 10 เท่า ซึ่งก่อนที่เธอจะก่อตั้ง Soundwise เธอใช้เวลากว่า 6 เดือนเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนโค้ดที่ Hack Reactor บริษัทอันดับต้นๆ ด้านการฝึกอบรมโปรแกรมวิศวกรซอฟแวร์ชั้นนำ เพื่อทำให้ตนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และยังมองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุดในการดึงดูดเหล่า Co-Founders

ก่อนจะเริ่มต้นออกล่าสุดยอด Co-Founders
1.   เพื่อนนี่แหละ!
ให้คุณค้นหา Co-Founders จากเครือข่ายที่คุณมีก่อน เพราะเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ก่อตั้งนั้นหากมาจากความสัมพันธ์ที่รู้จักดีจะส่งผลดีกว่าคนแปลกหน้า ด้วยเหตุผลที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณนั้นรู้จักสไตล์การทำงานของกันและกันและมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และกลายเป็นเหตุผลที่คุณจะชักชวนเพื่อนร่วมงานในอดีตที่มีพรสวรรค์เหล่านั้น แม้จะขาดการติดต่อกันไปนาน และถึงเวลาแล้วที่คุณจะเริ่มต้นส่งอีเมลและเซย์ไฮ และพูดเกี่ยวกับแนวคิดกับคนที่คุณรู้จักรวมถึงอย่าลืมที่จะถามว่าพวกเขาพอรู้จักใครที่ต้องการเข้าร่วมกับคุณอีกหรือไม่
2.   เว็บไซต์หางาน
เว็บไซต์ประกาศรับสมัครงานก็น่าสนใจไม่น้อย ขณะที่คนส่วนใหญ่ลงคุณสมบัติหาพนักงาน แต่บริษัทของคุณประกาศหาผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founders) การเขียนแบบนั้นยิ่งทำให้กลายเป็นที่น่าสนใจมากกว่าตำแหน่งงานอื่นๆ
3.   ‘มหาวิทยาลัยนี่แหละ’
แน่นอนว่ามีหลายมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตร MBA Programs และประกอบไปด้วยนักธุรกิจฝีมือฉกาจในอนาคต เพราะนอกจากการตามหาผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founders) ระดับเทคนิคทางวิศวกรแล้ว การมองหาผู้ร่วมก่อตั้ง (Co-Founders) ที่มี่ความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจที่เป็นนักขายและนักการตลาดก็สำคัญไม่น้อยหากคุณจะสามารถนำเสนอโครงสร้างธุรกิจจนสามารถสร้างเครือข่ายกับเหล่าศาสตราจารย์ให้เขาลองโพสต์ข้อมูลของบริษัทคุณลงกลุ่ม Facebook ก็อาจมีนักศึกษาหลายคนที่มีภูมิหลังทางธุรกิจที่น่าสนใจเข้าตาคุณบ้างก็เป็นได้
4.   งานสัมมนาและมหกรรมรวมตัวของเหล่าstartup ข้อดีของการเข้าร่วมกิจกรรมและฟอรัมเหล่านี้คือคุณสามารถพบปะผู้คนจำนวนมากที่สนใจในการเริ่มต้นธุรกิจ ข้อเสียคือเวทีแห่งการแข่งขันเพราะพวกเขากำลังตามหาในสิ่งที่คล้ายๆ กันอยู่และกลายเป็นเรื่องยากที่จะทำให้โดดเด่นและให้ทุกคนได้ยินเสียงของคุณ
5.   ใช้แอปพลิเคชั่น คุณสามารถหาแอปพลิเคชั่นอย่าง cofounderslab เพื่อค้นหา Co-Founders ได้

หลังจากออกล่าสุดยอด Co-Founders
คุณควรตามหา Co-Founders ไปพร้อมกับการเริ่มต้นก่อตั้งบริษัท ซึ่งหลายคนอาจเกิดคำถามว่าสิ่งที่ทำ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเดินมาถูกทาง คำตอบคือคุณอาจจะต้องค่อยๆ เริ่มต้น โดยมีระยะทดลองที่พอดี เพราะผู้ร่วมก่อตั้งที่ดีจะสามารถทำให้การเริ่มต้นนั้นมีกราฟที่ขยายตัว หรือแม้กระทั่งกลายเป็นการทำลายการเริ่มต้นของคุณเลยก็ได้ ซึ่งถ้าหากความสัมพันธ์ทางธุรกิจล้มเหลวอย่างน้อยก็ทำให้มันล้มเหลวอย่างรวดเร็วในระยะเริ่มต้นเท่านั้น

สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษา Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สายด่วน 1333

ธุรกิจสำคัญ ๆ ของโลก

ธุรกิจสำคัญ ๆ ของโลก
21 พฤษภาคม 2017 เวลา 05:05 น.

ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของเทคโนโลยีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งฟินเทค ทั้ง IoT ไหนจะสตาร์ทอัพที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจสำคัญ ๆ ระดับโลกอย่างเช่น Uber อีก นี่ยังไม่รวมสตาร์ทอัพอีกมากมายที่ล้อมรอบตัวเรานะ เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงเป็นจำนวนมากพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจ ด้วยกับความสามารถด้านเทคโนโลยีและไอเดียความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงตรงนี้แหละครับ ที่ทำให้พวกเค้าน่ากลัว
นี่แหละที่เรียกว่ายุคดิจิทัลที่แท้จริง หลายธุรกิจถือกำเนิดขึ้นมาด้วยกับ Business Model ใหม่ ๆ ที่ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ได้มากกว่า มันทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นก็จริง แต่มันก็กำลังไล่ล่าคลื่นลูกเก่าอย่างใครหลาย ๆ คนอย่างกระชั้นชิด ซึ่งวิธีการที่ทำให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ทำลายบริษัทสำคัญ ๆ ของโลกลงได้อย่างง่ายได้ก็คือ นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งวิธีการสร้างสรรค์มันขึ้นมาก็คือ…

1. เริ่มจากทีมที่มีความหลากหลาย
ธุรกิจที่มีคนจากหลาย ๆ ประเทศ มีพื้นเพที่แตกต่างกัน เพศ อายุ และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันเลยสักอย่าง จะช่วยให้สร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีขึ้นมาได้ เพราะเค้าเหล่านั้นจะช่วยมองในมุมที่ตัวเองเคยสัมผัส และด้วยมุมมองที่แตกต่างกันทำให้มองเห็นไอเดียได้หลากหลาย และมองหาข้อผิดพลาดเจอได้ง่ายกว่าคนที่มาจากสภาพแวดล้อมเดียวกันทั้งหมด ทำให้ปัญหาแค่อย่างเดียวสามารถมีวิธีแก้ที่สารพัด และนั่นทำให้เราไม่ต้องเสียเงินเยอะในการลองผิดลองถูกนั่นเอง

2. ยอมรับในความไม่แน่นอนและสิ่งที่ไม่รู้
การ Disrupt นั้นก็เหมือนเราแล่นเรือไปในน่านน้ำที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน ซึ่งมันอาจต้องพบเจอกับความไม่แน่นอน ความไม่รู้ และความเสี่ยง แต่สิ่งเหล่านั้นสามารถลดลงจนเกิดเป็นความแน่นอนขึ้นได้ ถ้าเราทำการบ้านหนักมากพอ เหมือนอย่าง Elon Musk และ Richard Branson ที่เป็นนัก Disrupt ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ ธุรกิจทุกวันนี้สามารถทำนายนู่นนี่ล่วงหน้าได้เต็มไปหมด เพราะมีข้อมูลที่รองรับเอาไว้สำหรับการวิเคราะห์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอยู่แล้ว สิ่งสำคัญจึงเป็นเรื่องของความกล้ามากกว่า ถ้าเราผลักดันพนักงาน และเพิ่มอิสรภาพให้เค้ากล้าทดลองทำในสิ่งใหม่ ๆ ได้ มันก็จะนำไปสู่นวัตกรรมที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจ และ Disrupt คนอื่น ๆ ต่อไป

3. ใช้งานทรัพยากรที่จำกัด
อย่างที่บอกครับว่า นวัตกรรมมันเป็นเรื่องของการลองผิดลองถูก ถ้าเมื่อไหร่เจอทางที่ใช่ มันก็จะขยายตัวของมันไปได้เอง แต่ในฐานะสตาร์ทอัพ เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ดังนั้นเราต้องจำกัดทรัพยากรทุกอย่างที่เรามี คิดให้ดีว่าเราต้องมีออฟฟิศมั้ย ต้องจ้างพนักงานตำแหน่งนี้รึเปล่า ซอฟต์แวร์ตัวไหนที่ไม่จำเป็นต้องซื้อบ้าง ประเด็นคือเราต้องใช้ประโยชน์ทุกอย่างที่มีให้คุ้มค่าที่สุด ด้วยทรัพยากรที่จำกัดจะทำให้เราคิดทุกอย่างได้รอบคอบ และนำไปสู่การทดลอง และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดที่สุด

4. ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม
ถึงแม้ทุกวันนี้ Uber จะเข้ามา Disrupt ธุรกิจแท็กซี่ในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในประเทศไทยเรื่องของกฎหมายนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้การขยายตัวนั้นต้องหยุดลง ทั้ง ๆ ที่รูปแบบธุรกิจของ Uber นั้นแทบจะไม่มีที่ติและสามารถ Disrupt ได้อย่างง่ายดาย นี่แหละครับความน่าเสียดายของวงการธุรกิจ และถ้าเราคิดจะ Disrupt ใครก็ต้องใส่ใจเรื่องของกฎระเบียบ และกฎหมายต่าง ๆ ของเค้าไว้ด้วย ดูว่าเค้าอนุญาตอะไร มากน้อยแค่ไหน มีส่วนใดที่ธุรกิจเราไม่สามารถลงมือได้บ้าง ซึ่งก็จะช่วยให้เราวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมชิ้นนี้ได้

สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษา Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สายด่วน 1333