วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ความเป็นผู้บริหารหรือที่เรามักเรียกกันว่า CEO

เคยสงสัยไหมครับว่า ความเป็นผู้บริหารหรือที่เรามักเรียกกันว่า CEO นั้นมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือต้องสั่งสมประสบการณ์สร้างมันขึ้นมาเอง? เบน โฮโรวิทซ์ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจนกลายเป็นนักธุรกิจชั้นนำกล่าวว่า ทักษะขั้นสูงส่วนใหญ่ล้วนต้องอาศัยเวลาหลายปีเพื่อสั่งสมประสบการณ์การทำงาน

คุณลักษณะสำคัญต่างๆ ของ CEO เช่น การติชมพนักงานนั้น มาจากการฝึกฝน ไม่ต่างจากกีฬามวยที่ต้องฝึกยกเท้าด้านหลังก่อน ซึ่งเป็นท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ โดยเขากล่าวว่า “ปกติแล้วก็ต้องใช้เวลาหลายปีนะ กว่าผู้บริหารจะพัฒนาทักษะความสามารถต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารได้” ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความเป็น CEO ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด หากแต่ต้องสั่งสมมาจากประสบการณ์นั่นเอง

การจะกลายเป็นผู้นำที่ดีได้ต้องอาศัยการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใครก็ตามที่ฝึกหนักแล้วจะกลายเป็น CEO ที่ดีได้หมดทุกคนหรอกนะ คุณอาจรู้สึกอิจฉาผู้นำบางคนที่แทบไม่ต้องฝึกฝนอะไร แต่ก็เป็นผู้นำที่ใครๆ ต่างเคารพนับถือ เนื่องจากคนเหล่านี้มีชุดความคิดบางอย่างเป็นพื้นฐานก่อนการเรียนรู้เพื่อไปสู่การเป็นผู้นำที่ดีมาแต่ก่อนแล้วนั้นเอง

1. คุณเป็นคนอยากรู้อยากเห็นและใฝ่เรียนรู้อยู่เสมอ

ลักษณะข้อแรกในการพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จก็คือ การเป็นคนรักการเรียนรู้อยู่เสมอ อย่างที่นักธุรกิจชื่อดังแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็น วอร์เรน บัฟเฟตต์ บิลล์ เกตส์ ไปจนถึงโอปราห์ วินฟรีย์ มักจะบอกว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าคุณต้องการข้อมูลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือกว่านี้ เราก็มีมานำเสนอให้คุณเช่นกัน

The New York Times ได้เขียนเกี่ยวกับงานวิจัยหนึ่งที่เผยว่า ประสบการณ์การทำงานหลากหลายบทบาทจะทำให้คุณมีแนวโน้มไปสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรได้มากกว่า ตั้งแต่การเงินจนไปถึงฝ่ายการตลาด ไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาให้เก่งในด้านที่ตัวเองทำเท่านั้น

นีล เออร์วิน นักข่าวของ The New York Times เขียนไว้ว่า “การประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจไม่ใช่แค่เรื่องของความฉลาดหรือการไต่เต้าไปสู่จุดสูงสุด แต่คือการสะสมทักษะที่หลากหลายและสามารถเรียนรู้เรื่องที่อยู่นอกเหนือจาก comfort zone ของตัวเองได้”

2. คุณเต็มใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้อง

แน่นอนว่า CEO จะต้องเป็นคนฉลาดในระดับหนึ่งจึงจะบริหารบริษัทได้ แต่สำหรับผู้บริหารชั้นนำนั้น สิ่งที่สำคัญกว่าความสามารถส่วนตัวก็คือการเฟ้นหาและรับฟังผู้ร่วมงานที่มีความสามารถนั่นเอง การเป็นผู้นำที่ดีต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตัว ยอมรับนับถือในความสามารถของผู้อื่น รวมถึงต้องมีความมั่นใจในตนเองพอที่จะกล้าเปิดเผยขีดจำกัดของตนและรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วย

นอกจากนั้น เควิน จอห์นสัน ยังได้เขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจนอีกว่า คุณต้องยอมรับให้ได้ว่าบางครั้งคุณก็อาจเป็นคนที่โง่ที่สุดในห้องก็ได้ “คนทั่วไปมักจะกลัวคนฉลาด ถ้าให้เลือกระหว่างการถูกขังไว้กับผู้คนที่ฉลาดสุดๆ กับคนธรรมดาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกอยู่กับคนธรรมดามากกว่า”

คุณต้องให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และผลลัพธ์ที่ได้มาก่อนอัตตาของตนเสมอ และควรคบหากับเหล่าคนที่ฉลาดๆ เข้าไว้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมจอห์นสันจึงมองหาเพื่อนใหม่ๆ ที่ฉลาดเป็นเลิศอยู่เสมอ “พวกเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ บางทีก็ถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองยังโง่มากๆ แต่ผมรับได้นะ เพราะรู้ว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรมากมายจากพวกเขา” เขาอธิบาย

3. คุณทำตามความฝัน แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก

อยากรู้ไหมว่า อีลอน มัสก์ ผู้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่กล้าเสี่ยงมากที่สุดในโลกนั้นจัดการกับความเสี่ยงยังไง? เขาไม่ได้ไม่ใส่ใจมันหรอกนะ ซ้ำยังเพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า อันที่จริงแล้ว เขากลัวความเสี่ยงสูงจากการดำเนินโครงการหลุดโลกต่างๆ เช่น เรื่องการอาศัยบนดาวอังคาร โดยยอมรับว่า “ผมรู้สึกกลัวมากเลยล่ะ!”

แทนที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้วยการมองโลกในแง่ดีอย่างไร้เหตุผล มัสก์จะศึกษาโอกาสของความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น และลิสต์รายการความเสี่ยงทั้งหมดที่เขากำลังเผชิญอยู่ แต่เขาก็จะดำเนินการต่ออยู่ดี “ตอนเริ่มทำ SpaceX ผมคิดว่าโอกาสที่จะสำเร็จนั้นมีแทบไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ และผมก็ยอมรับได้ว่าเราอาจจะไม่เหลืออะไรกลับมาเลย แต่บางทีเราอาจจะสามารถสร้างความก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้างก็ได้” เขากล่าว

การเฝ้าระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของนักบริหารที่เยี่ยมยอดเลยก็ว่าได้  โรเบิร์ต สคอเบิล ผู้ซึ่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ CEO ให้กับเว็บไซต์ Rackspace ได้เขียนลงในเว็บไซต์ Quora ว่า ผู้บริหารในอุดมคติเป็นคนที่ “เชื่อมั่นว่าจะทำเป้าหมายในระยะยาวให้สำเร็จได้ ในขณะเดียวกันก็ยังกังวลเรื่องการทำตามเป้าในระยะสั้นให้ได้ด้วย มุมมองแบบนี้ทำให้ผู้ประกอบการรักษาความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของบริษัทได้โดยไม่ละเลยงานพื้นฐานๆ ของธุรกิจ Startup ด้วย”

4. คุณหมกมุ่นในสิ่งที่ทำ

บ้างก็เรียกคุณลักษณะเช่นนี้ว่า ความคลั่งไคล้ (Passion) บ้างก็เรียกว่าความใส่ใจ แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม การเป็น CEO ชั้นเยี่ยมจะต้องสามารถจดจ่อกับโจทย์หรือปัญหาที่น่าสนใจและคิดหาวิธีแก้ไขจนกว่าจะสำเร็จให้ได้

ยกตัวอย่างเช่น บิลล์ เกตส์ ในสมัยที่ยังเป็นนักเขียนโปรแกรมหนุ่ม เป็นที่รู้กันดีว่าเขามักจะนั่งทำงานจนฟุบหลับหน้าคอมพิวเตอร์เสมอ และก็ทำงานต่อได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากสะดุ้งตื่น นอกจากนี้ยังมี
นิค วู้ดแมน CEO ของบริษัท GoPro ผู้หมกมุ่นกับความใฝ่ฝันจะพัฒนาคุณภาพการบันทึกวิดีโอการเล่นเซิร์ฟและใช้เวลาเฝ้าทดลองอย่างจริงจังหลายต่อหลายเดือน

ดรูว์ ฮูสตัน ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Dropbox อธิบายคุณลักษณะดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยเอาไปเปรียบกับลูกเทนนิส “ลูกเทนนิสก็เหมือนกับการค้นหาสิ่งที่คุณคลั่งไคล้นั่นแหละ” เขากล่าว “ผู้ประกอบการและคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักน่ะคลั่งไคล้และหมกมุ่นกับการแก้ปัญหาที่สำคัญต่อพวกเขามากๆ แล้วที่เปรียบเทียบอย่างนี้ก็เพราะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมโยนลูกเทนนิสใส่สุนัขของผม มันจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นคลั่งไคล้ในลูกเทนนิสนั่นทันที”

แล้วคุณล่ะ มีความรู้สึกตื่นเต้นหรือคลั่งไคล้อะไรบ้างไหมเวลาเจอกับปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้?

5. คุณเป็นนักเล่าเรื่องชวนฟัง

ในเมื่อสิ่งที่คุณอยากทำคือธุรกิจไม่ใช่รายการทีวียอดฮิต แล้วทำไมการเล่าเรื่องเก่งถึงสำคัญนักต่อการเป็น CEO ที่ประสบความสำเร็จล่ะ? คำตอบก็คือ เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เหตุผล (พบเห็นได้ง่ายๆ ตามวงคุยถกเถียงเรื่องการเมือง) ดังนั้นคุณจึงต้องดึงดูดให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมให้ได้ถ้าอยากโน้มน้าวหรือเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา

“เหล่า CEO ต้องจัดการกับความขัดแย้งระหว่างหลายกลุ่มผู้ร่วมผลประโยชน์” สคอเบิลกล่าว “บ่อยครั้งที่ความต้องการของลูกค้าไม่ตรงกับนักลงทุน เพราะฉะนั้น CEO ที่ดีจึงต้องมีความสามารถในการโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับตนเอง หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขาไปเลย”

 

Source : Business Insider

ไม่มีความคิดเห็น: