“อีลอน มัสก์” ชายผู้พลิกโฉมโลก กับบทไอรอนแมนบนโลกแห่งความจริง
หลังจากยุคของสตีฟ จ็อบส์ผ่านไป ชายผู้ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ และมีความใกล้เคียงที่จะพลิกโฉม การดำเนินชีวิตของคนทั้งโลกได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นชายที่ชื่อว่า อีลอน มัสก์
หากโทนี่ สตาร์ค คืออัจฉริยะที่สามารถสร้างสิ่งเหนือความเป็นไปได้ในหนังเรื่องไอรอนแมน อีลอน มัสก์ คือโทนี่ สตาร์คในชีวิตจริงที่กำลังสร้างยานอวกาศออกไปนอกโลก รถยนต์ระบบไฟฟ้าแบบออโต้ไพลอท รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งได้เร็วกว่าพันกิโลเมตรต่อชั่วโมง และอีกมากมายที่กำลังทยอยตามมา
วันนี้ผมขอพาทุกคนไปรู้จักกับอีลอน มัสก์มากขึ้น เขาเป็นใครมาจากไหน และทำไมถึงกลายเป็นคนที่กำลังจะเปลี่ยนโลกได้ และทิ้งท้ายด้วยแง่คิดที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้
กำเนิดอีลอน มัสก์
อีลอน รีฟ มัสก์ (Elon Musk) เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1971 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ พ่อแม่หย่าขาดกัน ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยที่เขาเลือกอาศัยอยู่กับพ่อ
เขาเริ่มฉายแววนักประดิษฐ์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบเมื่อเริ่มมีความสนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ “คอมโมดอร์ วิค-20” ศึกษาโปรแกรมเบสิคที่ต้องใช้เวลา 6 เดือนในการเรียนภายใน 3 วัน
ในวัย 12 ขวบเขาสร้าง และขายวิดีโอเกม ที่ชื่อว่าบลาสเตอร์ให้กับนิตยสาร พีซี และ ออฟฟิศ เทคโนโลยี ในมูลค่าประมาณ 500 เหรียญสหรัฐฯ ฉายแววนักประดิษฐ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
ตามประสาเด็กหนุ่มวัยกำลังซน มัสก์มักจะมีเรื่องชกต่อยกับเด็กคนอื่นอยู่เสมอ มีครอบครัวที่ไม่ได้ ยากลำบากนัก จนช่วงก่อนอายุครบ 18 ปีเขาได้ย้ายจากแอฟริกาใต้ ไปอยู่ที่แคนาดา โดยถือสัญชาติ ตามแม่ของเขา
เขาจบการศึกษาปริญญาตรีด้านฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย และปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวาร์ตัน การที่จะต่อปริญญาด้านแอพพรายฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด แต่เรียนได้เพียง 2 วันก็ออกไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตเต็มตัวในปี 2002
เริ่มต้นธุรกิจ
ในปี 1995 เขาเริ่มต้นทำธุรกิจกับ คิมบัล น้องชาย เริ่มก่อตั้งบริษัท Zip2 บริษัทซอฟแวร์ด้วยเงินของพ่อ ตั้งต้นที่ 28,000 เหรียญสหรัฐ
Zip2 ให้บริการซิตี้ไกด์ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสำหรับอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ เขาให้บริการกับหนังสือ พิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง เดอะ นิวยอร์ค ไทมส์ และเดอะ ชิคาโก้ ทริบูน ตอนนั้นเองเขาอยากเป็นซีอีโอ แต่บอร์ดบริหารไม่มีใครยินยอม
จนท้ายที่สุดในปี 1999 บริษัทคอมแพคมาเทคโอเวอร์ Zip2ไปในมูลค่ากว่า 307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอีก 34 ล้านเหรียญในสิทธิหุ้น ตัวเขาเองได้เงินไป 7% คิดเป็น 22 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ ในการซื้อขายดังกล่าว
กำเนิด PayPal
ในปีเดียวกันนั้นเขาร่วมก่อตั้งบริษัท X.com ออนไลน์ไฟแนนเชียลเซอร์วิซ และอีเมลเปย์เมนท์ด้วยเงิน ตั้งแต่กว่า 10 ล้านเหรียญ ก่อนจะทำการควบรวมกับบริษัท Confinity ที่ให้บริการด้านการแลกเปลี่ยนเงิน และเปลี่ยนชื่อเป็น PayPal ในปี 2001
ในช่วงแรกนั้น PayPal เน้นการทำตลาดแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้ง โดยทำการให้เงินแก่ลูกค้าใหม่ เพื่อบอกต่อบริการ ในปี 2002 PayPal ถูก eBay ซื้อหุ้นไปถึง 1.5 พันล้านเหรียญ โดยที่อีลอน มัสก์ได้ส่วนแบ่งถึง 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการที่เขาถือหุ้นส่วนใหญ่ของ PayPal ที่ 11.7%
ปัจจุบันธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบ PayPal ยังมีการใช้อย่างแพร่หลายต่อเนื่อง
เมื่อโลกหมดความท้าทาย
ในปี 2002 อีลอน มัสก์ได้เริ่มธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับยานอวกาศภายใต้ชื่อบริษัท SpaceX หรือ Space Exploration Technologies โดยทุ่มเงินกว่า 100 ล้านเหรียญ โดยเกิดขึ้นเมื่อเขาสนใจการสำรวจดาวอังคารอย่างมาก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตเขาจะสามารถส่งคนไปบนดาวอังคารได้ อีกทั้งก่อตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารภายในปี 2040
ในปี 2006 SpaceX ได้รับสัญญาจาก NASA ในการพัฒนายานอวกาศ Falcon 9 เพื่อขนส่งคาร์โก้ไปยัง สถานีบนอวกาศ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกของโลก ที่สามารถ ส่งยานอวกาศไปกลับสถานีบนอวกาศได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าในระหว่างนี้เขาต้องพบกับปัญหาการลาออกของหัวกะทิที่เขาจ้างมาอยู่เป็นประจำ เพราะเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก ตัวเขาเองบางครั้งต้องนอนที่ SpaceX และไม่ค่อยได้อาบน้ำด้วยซ้ำ
พลิกโฉมวงการยานยนต์กับ Tesla Motors
ในขณะเดียวกันในปี 2003 อีลอน มัสก์ ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท Tesla Motors สร้าง Tesla Roadster รถยนต์ไฟฟ้าดีไซน์ล้ำสมัยขึ้นมาโดยขายไป 2,500 คันใน 31 ประเทศทั่วโลก และพัฒนา Model S สปอร์ตซีดานล้ำสมัยขึ้นมาออกจำหน่ายในปี 2012 และ ปล่อย Model X สปอร์ต SUV ตามมาอีก
มีรายงานระบุว่ารายได้ต่อปีของเขาที่ Tesla Motors อยู่ที่ 1 ดอลลาร์เฉกเช่นเดียวกับที่สตีฟ จ็อบส์ เคยรับเมื่อสมัยกลับมาบริหารงานที่ Apple
พลังงานแสงอาทิตย์พลังแห่งอนาคต
นอกจากนี้ Tesla และ SpaceX อีลอน มัสก์ ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ SolarCity ในปี 2006 ร่วมกับ ลินดอน และปีเตอร์ ไรฟ์ ญาติของเขาเอง ซึ่งปัจจุบัน SolarCity เป็นผู้ให้บริการด้านพลังงาน แสงอาทิตย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ
ในปี 2014 เขาได้สร้างโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ขึ้นที่เมืองนิวยอร์ค ตัวเขาเองระบุว่าสิ่งก่อสร้างดังกล่าวนี้จะกลายเป็นโรงงานผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นของโลก
ชีวิตส่วนตัวของไอรอนแมน
ชีวิตของอีลอน มัสก์ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคาแรคเตอร์ของโทนี่ สตาร์คในหนังภาพยนตร์ เรื่องไอรอนแมน ด้วยความสามารถ และมันสมองที่ปราดเปรือง เป็นนักประดิษฐ์ และนวัตกรที่สามารถ พลิกโลกได้
เขามีทุกอย่างไล่ตั้งแต่ รถซูเปอร์คาร์แมคลาเรน เอฟวัน เครื่องบินเจ็ทแอร์โร แอล-39 เครื่องบินฟัลคอล 900 ยกเว้นความรักที่ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก เขาพบรักกับ จัสติน วิลสัน นักเขียนชาวแคนาดา สมัยที่เรียนอยู่ด้วยกัน
ที่มหาวิทยาลัย ตัดสินใจแต่งงานในปี 2000 แต่หย่าขาดกันในปี 2008 มีลูกด้วยกัน 6 คน
หลังจากนั้นเขาได้ออกเดทและแต่งงานกับนักแสดงสาวชาวอังกฤษ ทาร์ลูลาห์ ไรลีย์ ในปี 2010 อย่างไรก็ตามเขาได้ออกมาประกาศแยกทางกันในปี 2012 และกลับมาคบกันใหม่ในปี 2013 เป็นความรักที่ไร้ซึ่งความแน่นอนอย่างยิ่ง ในปี 2016 นี้พวกเขาแยกทางกันอีกครั้ง
แง่คิดที่ได้จากอีลอน มัสก์ ชายผู้ท้าทายความเป็นไปได้
เรียนรู้จากการอ่านหนังสือ
ในวัยเด็กอีลอน มัสก์อ่านหนังสือวันละ 10 ชั่วโมง อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าจนไม่มีอะไรจะอ่าน แล้วจึงอ่านสารานุกรมบริทานนิก้า ซึ่งมีเนื้อหาและขนาดใหญ่มาก
นอกจากนี้เขายังเรียนรู้การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตนเองผ่านการอ่านหนังสืออีกเช่นกัน และในช่วงสำคัญที่เขากำลังก่อตั้ง SpaceX ด้วยความรู้จากศูนย์ เขาตัดสินใจหาหนังสือที่สามารถเพิ่มทักษะความรู้เกี่ยวกับอวกาศ การสร้างจรวด และอ่านอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเติมสิ่งขาดหายไปโดยเร็ว
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับการอ่าน และพยายามเพิ่มพูนทักษะความสามารถอย่างรวดเร็วจากการอ่านหนังสือที่ใครก็สามารถเข้าถึงได้
ล้มแล้วลุกไม่มีวันยอมแพ้
ความล้มเหลวของอีลอน มัสก์เรียกได้ว่าบ่อยครั้งนับไม่ถ้วน
ครอบครัวแตกแยกตั้งแต่พอจำความได้ เคยถูกไล่ออกจากการเป็นซีอีโอโดยนักลงทุน หรือถูกเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งเตะออกจากตำแหน่งซีอีโอ (อีกแล้ว) ในช่วงระหว่างกำลังไปเที่ยว ลูกคนแรกต้องเสียชีวิตไปหลังจากคลอดออกมาได้เพียง 10 สัปดาห์ หย่าร้างหลายครั้ง ปล่อยยานอวกาศล้มเหลวถึง 3 ครั้งสูญเงินมหาศาลก่อนจะสำเร็จในครั้งที่ 4
เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่รู้จักความล้มเหลวดีเหมือนเพื่อนสนิทที่หมั่นมาทักทายอยู่เสมอ แต่เขาไม่เคยมองว่า เป็นความล้มเหลว แค่ล้มแล้วลุกขึ้นมาสู้ต่อทำให้เขามีทุกวันนี้
ทำงานอย่างหนัก
จากบทสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งอีลอน มัสก์ระบุว่า หากคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น อย่างน้อยเท่านึง ยิ่งทำงานหนักก็ยิ่งใช้เวลาน้อยกว่าคนอื่นในการประสบความสำเร็จ และควรจะทำงานอย่าง 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ในสมัยก่อตั้ง Zip2 ตลอด 3 เดือนแรกเขาต้องนอนที่ออฟฟิศเพื่อทุ่มเททำงานอย่างหนัก จนถึงปัจจุบันเขา ยังนอนที่ SpaceX และทำงานอย่างหนัก
มีข่าวลือว่าเขาเองทำงานกว่า 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มาแล้วอย่างน้อย 15 ปี
ไม่มีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา
เขาทำงานเป็นซีอีโอ และซีทีโอให้กับ SpaceX และเป็นซีอีโอให้กับ Tesla Motors บริหารงานกับ SolarCity เพราะฉะนั้นคำว่าไม่มีเวลาคงไม่อยู่ในพจนานุกรมฉบับอีลอน มัสก์อย่างแน่นอน
เขายังหาเวลาเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับการสร้างยานอวกาศได้อีกทั้งที่ทำงานอย่างหนักขนาดนี้ คนที่นั่งเฉย ๆ กำลังว่างงาน หรือบ่นว่าไม่มีเวลาควรจะลองเอาอย่างเขาดู
ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
เขาเขียนโปรแกรมที่ต้องใช้เวลา 6 เดือนเป็นภายใน 3 วันตั้งแต่เด็ก ก่อตั้งบริษัทที่สร้างรายได้มหาศาล นับไม่ถ้วน สร้างยานอวกาศเพื่อขนส่งไปยังสถานีบนอวกาศได้สำเร็จทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเลยตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งบริษัทรถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้าไม่ต้องใช้น้ำมันและแทบไม่ต้องใช้คนคอยขับ นั่งจิบกาแฟก็ถึงที่หมายได้
ทั้งหมดนี้หากย้อนเวลากลับไป เขาไม่มีเงินเป็นต้นทุนเลย หากเป็นคนทั่วไปคงคิดว่าทุกอย่างนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน ทุกสิ่งล้วนสร้างจากสองมือก่อตั้งบริษัทจากไม่มีอะไรเลย เพียงแค่อาศัยเงินทุนเล็กน้อยและแรงใจ แรงกายที่เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้
คิดใหญ่ ทำใหญ่ เหนือความคิดหมาย
บ่อยครั้งเป้าหมายของเขามักจะใหญ่เกินกว่าคนอื่นจะคิดได้ ทำให้เกิดการเลื่อนเป็นประจำ เลื่อนการส่งรถให้ลูกค้า เลื่อนการปล่อยจรวด เพราะเขาพยายามจะทำให้ทุกอย่างยอดเยี่ยมที่สุด สุดท้ายเมื่อสินค้าถึงมือ ลูกค้า มีแต่คนประทับใจเหนือความคาดหมายในราคาที่ย่อมเยา (รถ Tesla Model 3 คาดว่าราคาหลัง ภาษีอยู่ที่ 25,000 เหรียญสหรัฐเท่านั้น คิดเป็นเงินไทยประมาณ 8 แสนกว่าเท่านั้น)
ใครจะกล้าตั้งเป้าหมายแบบเขา น่าจะมีน้อยคนมากที่กล้าคิดใหญ่ ทำอย่างขนาดนี้
สำหรับแผนการในอนาคต ในปี 2017 อีลอน มัสก์วางแผนที่จะปล่อยรถ Tesla Model 3 ออกสู่ตลาด สร้างรถไฟความเร็วสูงไฮเปอร์ลูปให้พร้อมวิ่งในปี 2020 ส่งคนไปก่อตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคารในปี 2025 และท้ายที่สุดให้คนทั่วไปเดินทางไปดาวอังคารได้ในราคา 500,000 เหรียญสหรัฐฯ
อนาคตจะเป็นไปตามแผนการของชายผู้นี้หรือไม่ และเขาจะพลิกโฉมโลกอย่างไรต่อไป ต้องติดตามกันกับไอรอนแมนบนชีวิตจริง อีลอน มัสก์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น