แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ดร. สันต์ ฝังพลอยในเทียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ดร. สันต์ ฝังพลอยในเทียน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปีชง 2561 มีวิธีแก้ปีชง

ปีชง 2561 มีวิธีแก้ปีชงอย่างไร คำว่า ชง ตามภาษาจีนแปลว่า การปะทะ ดังนั้น "ปีชง" จึงหมายถึงปีที่มีการปะทะ โดยความเชื่อเรื่องของปีชงนี้ มีมาจากความเชื่อทางโหราศาสตร์ของจีน โดยจะเกี่ยวข้องกับ องค์เทพไท้ส่วย หรือที่รู้จักกันดีในนาม “เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา” ซึ่งเป็นเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละปี

ปีชง 2561 คืออะไร ?

เมื่อเริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่ 2561 เราก็มักจะได้ยินคำว่า ปีชง 2561 จากผู้คนที่ใกล้ตัวอยู่บ่อยๆ ไม่เว้นแม้แต่การที่เราเดินทางไปขอคำปรึกษาจากหมอดู หรือผู้ที่คอยทำนายชีวิตความเป็นไปของเราในอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าให้พูดกันแบบจริงใจ ใครที่ไม่ได้ใฝ่ทางนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าปีชง คือ อะไรกันแน่ แต่สำหรับผู้ที่เคยได้ยิน หรือมีโอกาสได้สัมผัสกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาก่อนแล้วก็น่าจะพออธิบายให้กับผู้ที่กำลังสงสัยอยู่เข้าใจได้ บางคนอาจคิดว่าปีชงนั้นเป็นความเชื่อตามหลักของศาสนาพุทธ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความเชื่อนี้ชาวไทยก็รับมาอีกทอดหนึ่ง เราลองไปทำความรู้จักกับความเชื่อนี้กันดู ว่าจะตรงกับสิ่งที่เราได้ยินมารึเปล่า

สำหรับ ปีชง 2561 เข้าสู่ปีศักราชใหม่สำหรับปี พ.ศ. 2561 (ปีจอ) จะมีปีนักษัตรไหนชง 100% และปีนักษัตรไหนชงร่วมกันบ้าง พร้อมแนะ วิธีแก้ปีชง 2561 ให้ผ่านพ้นคุ้มครองปลอยภัยผ่อนหนักเป็นเบา ไปเช็คกันเตรียมทำบุญด่วน!

ซึ่งดวง  "ดวงชง" จะมี 4 ปีนักษัตร ดังต่อไปนี้ 

ปีชง (100%)  ได้แก่  ปีนักษัตร มะโรง

หรือคนที่เกิดตรงกับปี พ.ศ. 2471, 2483, 2495, 2507, 2519, 2531, 2543, 2555

ปีชงร่วม ได้แก่ ปีนักษัตร จอ, ฉลู, มะแม

หรือคนที่เกิดปี พ.ศ. 2462, 2465, 2468, 2474, 2477, 2480, 2486, 2489, 2492, 2498, 2501, 2504, 2510, 2513, 2516, 2522, 2525, 2528, 2534, 2537, 2540, 2546, 2549, 2552, 2558

ปีชง คือ ปีที่ได้รับผลเสียมากที่สุดหรือที่เราเรียกกันว่าชงโดยตรง (ชง 100%) ได้แก่ ปีมะโรง

ปีคัก คือ ปีที่เป็นปีนักษัตรเดียวกับปีนั้น ๆ ได้แก่ ปีจอ

ปีเฮ้ง คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องเคราะห์กรรม ได้แก่ ปีฉลู

ปีผั่ว คือ ปีที่ได้รับผลกระทบในเรื่องสุขภาพ ได้แก่ ปีมะแม

โดยปีชงตรง ๆ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วน ปีคัก ปีเฮ้ง ปีผั่ว ซึ่งเรามักเรียกว่า ปีชงร่วม จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า

สำหรับคนเกิด ปีจอ (สุนัข) ทำอะไรก็จะติดขัด, คนเกิด ปีมะแม (แพะ) มีปัญหาเรื่องสุขภาพ, คนเกิด ปีฉลู (วัว) อาจประสบเคราะห์กรรม

 

สำหรับท่านที่เกิดปีนักษัตรที่โดนปะทะหรือชงข้างต้น ในปี พ.ศ. 2561 ควรหลีกเลี่ยงการไปร่วมงานศพ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ควรนำกิ่งใบทับทิมติดตัวไปด้วย และก่อนเข้าบ้านให้ใช้น้ำสะอาดใส่กิ่งใบทับทิมปัดทั่วตัว และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การละเว้นการไปส่งศพ การอยู่ในพิธีฝังศพ หรือนำหีบศพลงหลุม เพราะเชื่อว่าเมื่อผู้ใดละเมิดไปงานศพหรือไปส่งศพกลับมาแล้ว ดวงชะตาจะได้รับผลกระทบทำให้ร่างกายเกิดการเจ็บป่าย หรือกิจการค้าประสบปัญหาต่าง ๆ

ตามความเชื่อด้านโหราศาสตร์จีน ว่ากันว่าในทุก ๆ ปี องค์ไท้ส่วยเอี้ย หรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ผู้มีผลดลบันดาลให้เกิดความสุขและความทุกข์แก่มนุษย์โดยตรงทั้ง 60 องค์ โดยนับตามหลักจับกะจื้อ จะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแลโชคและเคราะห์ของแต่ละบุคคล

ชาวจีนเชื่อว่า องค์ไท้ส่วยเอี้ยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตมาก ดังนั้นการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือองค์ไท้ส่วยในทุก ๆ ปีนั้น เป็นสิ่งที่ดีงาม จะเป็นการส่งเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชงจะแคล้วคลาดปลอดภัยเคราะห์กรรมเบาบางลง

การกราบไหว้องค์ไท้ส่วยเอี้ย นอกจากคนที่ปีเกิดเป็นปีชงจะกราบไหว้บูชาเพื่อฝากดวงชะตาแล้ว คนที่เกิดปีนักษัตรอื่นก็สามารถกราบไหว้บูชาองค์ไท้ส่วยที่มาเฝ้าปีได้เช่นกัน เพื่อเป็นการเสริมดวงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทำให้มีโชคลาภรุ่งเรือง มั่งคั่ง

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Elon musk อีลอน มัสค์ เจ้านวัตนกรรม

สำหรับชื่อนี้ที่แทบจะไม่ต้องเกริ่นนำอะไรกันอีกแล้ว เขาคือเจ้าพ่อนวัตกรรมและเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในยุคนี้ หลายสิ่งที่เขาคิดค้นและลงมือทำมีส่วนช่วยผลักดันโลกของเราให้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์ล้ำ ๆ และเทคโนโลยีอวกาศ กับมูลค่าทรัพย์สินที่เขาครอบครองแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ ชายผู้นี้บริหารเวลาอย่างไร จึงสามารถทำงานในปริมาณที่คนธรรมดาคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิตอาจจะยังไม่สำเร็จ แต่เขาสามารถทำมันได้หลาย ๆ อย่างพร้อมกันด้วย จนหลายคนก็คิดว่าเขาอาจจะเป็นยอดมนุษย์ หรือซุปเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง

ความจริงอย่างหนึ่งที่เราควรตระหนักก็คือ เราทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เท่ากันตั้งแต่เกิด นั่นคือเรามีเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วัน เท่ากันทุกคน ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจน เกิดในตระกูลไหนก็ตาม วันนี้คุณก็มีเวลาเท่ากับ Elon Musk เท่ากับ Mark Zuckerberg และเท่ากับ Bill Gates แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นทำได้ดีกว่าคนอื่น คือการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงนั้นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามที่เขาตั้งเป้าหมายเอาไว้ ลองเปรียบเทียบตารางเวลาในชีวิตประจำวันของคุณกับตารางชีวิตของชายผู้นี้ดู

Elon Musk ตื่นนอนในเวลา 7.00 น. และเริ่มทำงานทันที โดยเขาจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงแรกของวัน ในการเช็คและตอบอีเมลสำคัญ และนี่คือครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาจะแตะต้องอีเมล เรียกว่าลืมตาตื่นก็พร้อมทำงานทันทีราวกับเครื่องจักรเลยทีเดียว

– สิ่งที่เขาไม่เคยละเลยหลังจากตื่นนอนเลยก็คือ การอาบน้ำ –

Elon Musk ไม่ทานมื้อเช้า…. ใช่ครับ อ่านไม่ผิด Elon Musk งดมื้อเช้า มื้อที่ทุกท่านก็ทราบดีว่า แพทย์หรือนักโภชนาการบอกเราว่ามันสำคัญมากสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ ควรกินโปรตีนเยอะ ๆ ในช่วงเช้า แต่สำหรับ Elon Musk เขาคิดว่ามันเสียเวลามาก จะมีบางวันเท่านั้นที่เขาจะจิบกาแฟบ้าง แต่ก็นาน ๆ ที

Elon Musk ทำงานเหมือนเครื่องจักร เมื่อเขาเริ่มทำงานแล้วอะไรก็หยุดเขาไม่ได้ และแน่นอนว่า แม้แต่เวลาเที่ยงเขาก็ไม่หยุด สำหรับมื้อเที่ยงเขาจะจัดการมันให้เรียบร้อยในเวลา 5 นาที ในขณะที่กำลังประชุมไปด้วย

ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไป ทำงานแบบ 9 to 5 คือ เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น รวมแล้วก็ 8 ชั่วโมง (แต่มีพักกลางวัน 1 ชั่วโมงนะ) แต่ Elon Musk เริ่มงานตั้งแต่ลืมตาตื่นคือ 7 โมงเช้า และเลิกงาน 1 ทุ่ม คือ 19.00 น. (เพราะพนักงานก็ต้องกลับบ้านนะครับนาย) รวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง ไม่มีพักเที่ยง!!! และงานที่ทำนั้นกว่า 80% เป็นงานด้านวิศวกรรมและการออกแบบ ไม่ใช่งานนั่งโต๊ะเซ็นเอกสาร หรือเดินไปเดินมาในออฟฟิศแต่อย่างใด

คนทั่วไปหลังเลิกงานก็กลับบ้าน ดินเนอร์ หรือทานมื้อเย็นกับเพื่อนฝูงหรือคนรัก แต่หลังจากมื้อเย็น(ที่เจรจาธุรกิจไปด้วย) Elon Musk ยังคงทำงาน หรืออ่านหนังสือต่อ เพราะภารกิจช่วยเหลือมนุษยชาติให้รอดพ้นจากการทำลายตัวเอง และส่งพวกเขาไปสร้างอนานิคมบนดาวดวงอื่นนั้น จะล่าช้าไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว ชีวิตของชายผู้นี้จึงแทบจะเหมือนเครื่องจักรกลเข้าไปทุกที

แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยังต้องการ การพักผ่อน Elon Musk จะจบทุกอย่างของวัน ตอน ตี 1 หรือ 1.00 น. ของวันใหม่ ในขณะที่คนทั่วไปดูละครและนอนหลับไปนานแล้ว แต่ Elon Musk เพิ่งจะได้เข้านอน และเขาใช้เวลานอนเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเขาจะเคร่งครัดกับเวลานี้เป็นอย่างมาก เพื่อจะตื่นมาทำงานต่อในเวลา 7 โมงเช้า

แค่อ่านก็เหนื่อยแล้ว…

ดูเหมือนว่า Elon Musk จะเข้าใกล้คำว่าเครื่องจักรเข้าไปทุกที เพราะเปิดปุ๊บต้องติดปั๊บ และเมื่อถึงเวลาปิดสวิทช์ ก็ต้องดับทันที คนธรรมดาไม่น่าจะสั่งตัวเองได้ขนาดนั้น แต่ Elon Musk ทำได้

ถึงแม้จะมีเวลาให้กับงานมากขนาดนี้แต่ Elon Musk ก็ยังสามารถแบ่งเวลาไปเข้ายิมได้อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และแม้จะโหมงานหนักขนาดนี้ แต่เขาก็มีวันหยุดเหมือนกัน ไม่ได้ทำงานเต็มทั้ง 7 วัน ต่อไปนี้คือตารางงานในแต่ละสัปดาห์ของ Elon Musk

วันอาทิตย์ – นอนเล่นอยู่บ้าน (คฤหาสน์ Bel Air) หรือออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างวันจันทร์ – ทำงานที่ Space X เสร็จแล้วขึ้นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวไปที่ Silicon Valleyวันอังคาร – ทำงานที่ Tesla ใน Palo Alto และบางครั้งก็ไปโรงงานที่ Fermontวันพุธ – ทำงานที่ Teslaวันพฤหัสบดี – ทำงานที่ Teslaวันศุกร์ – บินกลับมาทำงานที่ Space Xวันเสาร์ – ทำงานที่ Space X และบางครั้งก็ใช้เวลาอยู่กับลูกชายทั้ง 5 คน ของเขา

นี่คือตารางงานคร่าว ๆ แต่หากมีเรื่องด่วน หรือมีการประชุมสำคัญ ก็สามารถปรับเปลี่ยนตารางได้ตลอดเวลา

นักข่าวถามว่า ดูจากตารางพวกนี้ คุณทำได้อย่างไร ไม่เหนื่อยเหรอ?

Elon Musk :  “อาจจะเป็นเพราะผมมีวัยเด็กที่ยากลำบาก ก็เลยกลายเป็นประโยชน์มากสำหรับตอนนี้”

คำถามยอดฮิตคือ Elon Musk สามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ 2 สิ่ง อย่าง Space X และ Tesla ไปพร้อม ๆ กันได้อย่างไร Elon Musk แบ่งเวลาให้ทั้ง 2 ธุรกิจ เท่า ๆ กัน โดย ใช้เวลา 42 ชั่วโมง/สัปดาห์ไปกับ Tesla และใช้เวลา 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ที่ Space X และใช้เวลาอีก 6 ชั่วโมง/สัปดาห์ที่ OpenAI บริษัทไม่แสวงหากำไรของเขา ที่ร่วมพัฒนาและดูแลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์

จะเห็นว่า Elon Musk อาจจะมีช่วงที่ว่างตั้งแต่ช่วงบ่ายวันเสาร์ และ วันอาทิตย์ ทั้งวัน ซึ่ง Elon Musk มักจะใช้เวลานี้อยู่เล่นกับลูกชายทั้ง 5 คนของเขา

Elon Musk ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาจะใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ ประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ แต่ Elon ก็ชอบทำงานไปด้วยเวลาอยู่กับลูก ๆ

สรุปตางรางเวลาของ Elon Musk

 

Image credit: reddit

Elon Musk ใช้เวลา 24 ชั่วโมงไปกับ  

เวลาทำงาน 12.1 ชั่วโมงเวลานอน 6 ชั่วโมงเวลาอื่น ๆ 5.9 ชั่วโมง

วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พฤติกรรมที่ทำให้เศรษฐีที่ร่ำรวย แตกต่างจากคนทั่วไป

 พฤติกรรมที่ทำให้เศรษฐีที่ร่ำรวย แตกต่างจากคนทั่วไป

กรกฎาคม 25, 2016

Timothy Sykes ผู้ประกอบการและนักลงทุนชื่อดังชาวอเมริกัน กล่าวว่าหนึ่งจุดประสงค์หลักในชีวิตของเขาก็คือ การได้สอน สร้างแนวคิด และแนะนำวิธีให้ผู้คนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่นิยามของคำว่าประสบความสำเร็จของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป โดยผู้คนส่วนมากจะนิยามคนที่ประสบความสำเร็จ ว่าเป็น เศรษฐี หรือผู้ที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินแล้ว เพราะฉะนั้นการที่เราจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นเศรษฐีได้ เราจะต้องเรียนรู้จากพฤติกรรมของพวกเขา รู้ว่าพวกเขามีเคล็ดลับอย่างไร และสุดท้ายก็คือ การนำมาปรับใช้กับตัวเราเอง

และในวันนี้ เขาจะมาแชร์ในสิ่งที่เขาได้ศึกษามาจากเศรษฐีกว่าหลายท่าน ไม่ว่าตอนนี้สถานะทางการเงินของคุณจะเป็นอย่างไร หวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยคุณได้!

1. เศรษฐีขยันหมั่นเพียร

หลายคนคิดว่าการถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆ คือทางลัดไปสู่ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเงินกว่า 90% ที่ถูกรางวัลลอตเตอรี่มักจะหมดภายใน 5 ปี หรือน้อยกว่านั้น เหล่าเศรษฐีรู้ดีว่ามันไม่มีทางลัดทางไหนที่จะนำพาคุณไปสู่ความสำเร็จได้ นอกจากการทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง

Sykes กล่าวว่า “ผมคงไม่มีทางมายืนอยู่จุดนี้ได้ ถ้าในอดีตผมไม่ขยัน ผมไม่มีแม้แต่ผู้ให้คำแนะนำ เมื่อตอนที่ผมเริ่มเล่นหุ้นในช่วงมัธยมปลาย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผม ผมมีเวลาเหลือเฟือสำหรับไปเที่ยวกับเพื่อน เล่นวิดิโอเกม และอีกหลายอย่างมาก แต่ผมกลับเลือกที่จะมานั่งหน้าจอคอมและศึกษาชาร์จตลาดหุ้นเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน ผมจะทุ่มเทให้กับงานก่อนเสมอ เพราะผมรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มันต้องคุ้มค่าต่อการลงทุนครั้งนี้แน่ ตอนนี้ผมใช้ชีวิตอย่างที่ผมฝันไว้เพราะผมไม่กลัวที่จะทำงานหนัก”

2. เศรษฐีจดจ่ออยู่กับเป้าหมาย

มันไม่ใช่แค่การทำงานหนัก แต่คุณต้องทุ่มเททำงานหนักให้ถูกทาง “Don’t Work Harder, Work Smarter!”

ผมเคยเห็นใครหลายๆ คนเปลี่ยนความฝันของตัวเองให้เล็กลง หรือลบมันทิ้งอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะความเห็นของคนอื่นที่บอกว่า คุณไม่มีทางทำได้ อย่าเอาความคิดของคนอื่นมาตัดสินความสามารถของตัวเอง ทุกคนต่างมีความฝันว่าจะเป็นเศรษฐี แต่จะมีคนกลุ่มนึงที่ทำไม่สำเร็จ เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถโฟกัสไปที่ความฝันและเป้าหมายของตัวเขาเองได้

3. เศรษฐีรู้วิธีบริหารความเสี่ยง

ผมคิดว่าการเล่นหุ้นคือหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างการเงินที่มั่นคง ถ้าคุณรู้วิธีบริหารความเสี่ยง

ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่คุณจะต้องระมัดระวัง ผมไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ควรเผชิญหน้ากับเสี่ยง แต่คุณควรคำนวณทุกความเสี่ยงให้รอบคอบก่อนที่จะเผชิญกับมัน เช่นเดียวกับ การเล่นหุ้น การเล่นหุ้นคุณต้องคำนวณเรื่องความเสี่ยงและผลกำไรที่จะได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ คุณยอมเสี่ยงเท่าไหร่กับผลกำไรเท่านี้ คุณจะต้องคำนวนตัวเลขเหล่านี้อย่างรอบคอบก่อนที่จะลงทุน

คุณสามารถนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ถ้าความเสี่ยงมีมากกว่าผลประโยชน์ที่คุณจะได้ อย่าเสี่ยง แต่ถ้าผลประโยชน์มากกว่า คุณก็ควรลองเสี่ยงดู

4. เศรษฐีเป็นคนเอื้อเฟื้อ

ผมแนะนำให้คุณลองไปศึกษาแนวคิดจากเหล่าเศรษฐีใจบุญ เช่น Bill Gates,Warren Buffett, Carl Icahn และ Ken Langore เศรษฐีเหล่านี้จะมีแนวคิดที่ว่า “การให้สามารถทำให้เรารู้สึกดี พอ ๆ กับการรับ”
Sykes กล่าวต่อว่า “เมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งเริ่มก่อตั้งองค์กรการกุศลที่มอบเงินสองล้านดอลลาร์คืนแก่ชุมชนของผม และต้องขอบอกเลยว่ามันรู้สึกดีมากๆ ผมน่าจะเริ่มตั้งองค์กรให้เร็วกว่านี้ ผมจึงตั้งใจจะทำโครงการนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อชดเชยให้แก่ช่วงเวลาที่เสียไปก่อนหน้านี้”

5. เศรษฐีไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้

ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมาก เหล่าเศรษฐีชอบที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เพราะพวกเขามักจะมองหาหนทางในการเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาศักยภาพของตัวเอง พวกเขาอ่านหนังสือ ดูสารคดี เรียนรู้จากสื่อการเรียนรู้ต่างๆ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนที่เก่งๆ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล พวกเขารู้ดีว่าความรู้คือขุมพลังแห่งอำนาจ พวกเขาจึงไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้

ไม่ว่าตอนนี้คุณจะยืนอยู่จุดไหนก็ตาม คุณสามารถนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของคุณ แล้วผลลัพธ์ที่ได้จะต้องคุ้มค่าอย่างมากกับความทุ่มเทของคุณแน่นอน ผมขอให้คุณโชคดีครับ ว่าที่เศรษฐี!

Source : Entrepreneur

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กฎ “1 เปอร์เซนต์”

กฎ “1 เปอร์เซนต์” ที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จกว่าคนอื่นๆ โดย นักเศรษฐศาสตร์ Vilfredo Pareto

กฎ 1 เปอร์เซนต์ ที่ผู้ชนะต่างรู้ดี

ย้อนไปเมื่อช่วงปลายศตวรรษที่ 1800 Vilfredo Pareto หรือพาเรโต ชาวอิตาเลียน พาเรโตเป็นนักคณิตศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

เขาได้เผยแพร่ทฤษฎีต่างๆ ที่มีรากฐานมาจากตัวเลขและข้อเท็จจริง ซึ่งแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ ในยุคนั้น เขาได้ไปศึกษายังที่ต่างๆ หลายประเทศ โดยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในสังคม เขาค้นพบว่ากลุ่มคนเพียง 20% ของประชากรทั้งหมด นั้นเป็นเจ้าของพื้นที่ดินแดนกว่า 80% ในแต่ละประเทศ ซึ่งหมายความว่าทรัพยากรส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยกลุ่มคนส่วนน้อยในประเทศ

ทฤษฎีนี้เป็นข้อเท็จจริงจนมาจนถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่นในช่วงปี 2015-2016 ในการแข่งขันบาสเกสบอลของประเทศสหรัฐอเมริกา ผลสรุปว่ามีเพียงทีม Boston Celtics และ Los Angeles Lakers เท่านั้นที่กวาดรางวัลส่วนใหญ่ไป การเปรียบเทียบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดในการแข่งขันฟุตบอล ในขณะที่ 77 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก แต่กลับมีเพียงแค่ไม่กี่ประเทศที่มักจะได้เป็นแชมป์อยู่เสมอ

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ทำไมคนส่วนน้อยมักจะได้สิ่งดีๆ ไปเสมอ?

ในการตอบคำถามนี้ เราต้องสังเกตุถึงหลักความเป็นไปของธรรมชาติเสียก่อน

ยกตัวอย่างเป็นเรื่องราวง่ายๆ คุณลองจินตนาการถึงต้นไม้ 2 ต้นที่ปลูกอยู่ข้างๆ กัน ทั้งสองได้รับปริมาณแสงแดด น้ำ และคุณภาพของดินที่เหมือนกัน อยู่มาวันหนึ่งต้นไม้ต้นหนึ่งบังเอิญมีความสูงมากกว่าอีกต้น ซึ่งดูเหมือนว่าความแตกต่างเพียงน้อยนิดนั้นจะไม่ส่งผลอะไรมาก แต่แล้วต้นที่สูงกว่านั้นกลับได้ปริมาณแสงแดดและปริมาณน้ำฝนที่มากกว่า ทำให้ทุกๆ วันต้นไม้ต้นนั้นมีการเจริญเติบโตที่ดี และมีความสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดต้นไม้ต้นนี้ก็กลายเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงสามารถแย่งสารอาหารจากต้นไม้อื่นๆ ได้ แต่ในทางกลับกันต้นไม้อีกต้นกลับไม่มีการเจริญเติบโตที่ดีเพราะโดนบังจากการรับแสงแดดและน้ำฝน

จากตัวอย่างข้างต้น คุณจะเห็นได้ว่าการได้เปรียบคนอื่นแม้เพียงน้อยนิด ก็สามารถนำไปสู่ความแตกต่างทางโอกาสอย่างชัดเจนได้ อย่างต้นไม่ที่แข็งแรงนั้นจะมีความสามารถได้ออกดอก ออกผล และสืบสายพันธุ์ต่อไปมากกว่าต้นอื่นๆ ซึ่งการสืบสายพันธุ์นั้นยังสามารถส่งผลกระทบต่อการแผ่ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้มากขึ้น

ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นคุณสามารถสังเกตุเห็นได้ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความแตกต่างและความมีอัตลักษณ์เป็นของตนเองที่สุดโต่งเสียทีเดียว ผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วนเริ่มต้นมาจากความคิดที่แตกต่างเพียงน้อยนิดจากคนทั่วไป หลังจากที่ความแตกต่างนั้นสร้างข้อได้เปรียบให้กับคนเหล่านั้น พวกเขาจึงสามารถจับเส้นทางและกลายเป็นผู้ชนะที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ในเวลาต่อมา ซึ่งการประสบความสำเร็จของพวกเขาส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความคิด การดำเนินชีวิต พฤติกรรม และการตัดสินใจ

คนส่วนน้อยที่สามารถผลักดันตัวเองให้อยู่ในจุดที่สูงกว่าคนปกติได้ ถือว่าเป็นผู้ชนะเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาสามารถสร้างโอกาส ผลประโยชน์ และทรัพย์สินให้กับตนเองมากขึ้นและมากขึ้นในทุกๆ วัน ในขณะที่คนปกติส่วนใหญ่กลับเสียผลประโยชน์เพื่อสนับสนุนพวกเขาไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

อ่านมาจนถึงตรงนี้ คุณอาจตระหนักได้แล้วว่าการที่คุณจะเป็นผู้ชนะในทฤษฎี 1 เปอร์เซตน์ได้นั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเก่งกว่าคนปกติเป็นสิบเท่า เพียงแค่สร้างข้อดีและสร้างความแตกต่างเพื่อผลักดันให้ตัวเองหลุดออกมาจากคนทั่วไปเพียงน้อยนิด คุณก็จะสามารถสร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่จนไปถึงการประสบความสำเร็จในชีวิตได้

 

ที่มา jamesclear.com

พลังแห่งการคิดบวก

มหัศจรรย์ของพลังแห่งการคิดบวก เป็นคำที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ จนบางครั้งอาจจะฟังดูเฉยๆ และจำเจ แต่มีผลวิจัยออกมามากมายที่ช่วยยืนยันว่าการคิดบวกส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งพบว่าการคิดบวกจะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวคุณให้มากขึ้น ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเครียด ซึมเศร้า หรือโรคที่เกิดจากความเครียดได้

บางคนบอกว่า พลังแห่งการคิดบวกก็คือการที่เราคิดแต่เรื่องดีๆ การใช้คำพูดด้านบวกกับตัวเอง หรือแม้กระทั่งการมอโลกในแง่ดี แต่สิ่งเหล่านี้ยังอาจทำให้คุณมองไม่เห็นภาพมากนัก และนี่ก็คือเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจพลังแห่งการคิดบวกได้มากขึ้น

1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยความมั่นใจ

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้คุณจะอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน เคยไหม พอคุณตื่นสาย คุณเริ่มรู้สึกกังวล และมีความรู้สึกว่าวันนี้จะเกิดแต่เรื่องแย่ๆ สาเหตุมาจากการที่คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่ไม่สดใส เพราะในหัวคุณเต็มไปด้วยความคิดทางลบ พาลทำให้วันนั้นทั้งวันของคุณกลายเป็นวันแย่ๆ ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้ความรู้สึกแย่ๆเหล่านี้มากระทบต่อชีวิตของคุณ คุณควรเริ่มวันใหม่ด้วยจิตใจที่แจ่มใสและมั่นใจ อาจจะเริ่มจากการพูดคุยกับตัวเองในกระจก เช่น วันนี้จะต้องมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น หรือ วันนี้คือวันที่ยอดเยี่ยมของฉัน อาจจะฟังดูตลกเพ้อเจ้อไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณจะรู้สึกทึ่งกับผลลัพธ์ที่ตามมา

2. โฟกัสแต่เรื่องดีๆ รวมถึงเรื่องเล็กๆ

แน่นอนล่ะ คุณต้องพบเจออุปสรรคบ้างในแต่ละวัน เพราะไม่มีอะไรที่เพอร์เฟคไปหมดหรอก เมื่อคุณเจออุปสรรคทั้งเล็กและใหญ่ แทนที่จะเครียดหรือกังวล ลองเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่ด้านดีๆ ของมันดู เช่น เวลารถติดมากๆ ก็ให้คิดซะว่าคุณมีเวลาฟังวิทยุคลื่นโปรดของคุณนานขึ้น หรือถึงแม้อาหารที่คุณชอบกินดันหมด ก็คิดว่าคุณจะได้มีโอกาสลองชิมอาหารแนวใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยกินดูบ้าง

3. ในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆแฝงอยู่เสมอ

การพบเจอเรื่องร้ายๆ ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องไม่ดีเสมอไป เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเหตุการณ์ร้ายๆ เหล่านี้อาจกลายเป็นเรื่องเล็กๆ สำหรับคุณไปเลยก็ได้ ให้คุณลองคิดว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เจอนั้นอาจเป็นเรื่องที่ดีที่คุณจะได้พบเจอทำสิ่งใหม่ๆหรือโอกาสใหม่ๆ เข้ามาแทนที่

4. เรียนรู้จากข้อผิดพลาด

ไม่แปลกที่คุณจะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับหลายๆเรื่อง ทั้งกับเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ เพราะคุณไม่ใช่คนที่เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ จงมองข้ามความผิดพลาดในอดีตเหล่านั้นแล้วนำมาเป็นบทเรียน พร้อมทั้งโฟกัสกับสิ่งที่คุณต้องทำ มันจะช่วยให้คุณหาทางออกจากปัญหาเหล่านี้ได้

5. เปลี่ยนจาก ‘การดูถูกตนเอง’ เป็น ‘การให้กำลังใจตัวเอง’

การที่คุณพูดดูถูกตัวเองบ่อยๆ เช่น ฉันไม่เก่งเรื่องเหล่านี้เลย หรือ ฉันไม่น่าลองมันเลย บางครั้งคำพูดแย่ๆเหล่านี้อาจลุลุกลามกลายเป็นนิสัยประจำตัวคุณก็ได้ และคำพูดดูถูกแย่ๆ เหล่านี้จะเป็นกำแพงที่กั้นไม่ให้เราพัฒนาไปข้างหน้า ดังนั้น จงหยุดดูถูกตัวเองแล้วหันมาพูดให้กำลังใจตัวเองดีกว่า เช่น ขอเวลากลับไปฝึกฝนใหม่…ครั้งหน้าฉันต้องทำได้แน่นอน หรือ ครั้งนี้ฉันอาจจะผิดหวัง…แต่ครั้งหน้าต้องสำเร็จให้ได้

6. อยู่กับปัจจุบัน

คำว่าอยู่กับปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่า ให้โฟกัสแค่วันนี้ หรือ ชั่วโมงนี้ แต่หมายถึง อยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันนี้ต่างหาก ความคิดด้านลบมักจะเกิดจากอดีตที่เลวร้าย เกิดจากการที่คุณคิดมาก หรือกังวลเรื่องอนาคตมากเกินไป เช่น หากคุณถูกผู้อื่นตำหนิ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกตำหนิตลอดไปหรอกนะ จงลืมคำพูดแย่ๆ ที่พึ่งผ่านมานั้นเสียเถอะ แล้วไม่ต้องคิดถึงคำพูดแย่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ให้โฟกัสแล้วแก้ปัญหาช่วงเวลานี้ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด แล้วคุณก็จะรู้ว่ามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิดเลย

7. รายล้อมตนเองด้วย ‘คนคิดบวก’

เมื่อรอบตัวคุณห้อมล้อมไปด้วยคนที่มีทัศนคติที่ดี คุณจะสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านบวก เช่น บุคลิกภาพที่ดี เรื่องราวดีๆ และความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมจากคนเหล่านี้ คุณจะค่อยๆ ซึมซับพลังงานด้านบวกเหล่านี้เข้าไป และส่งผลให้ความคิดและคำพูดของคุณเปลี่ยนไป ถึงแม้การหาคนที่มีทัศนคติที่ดีอาจจะเป็นเรื่องยากเอาสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ควรปล่อยให้ความคิดแย่ๆครอบงำคุณได้ ดังนั้น จงสลัดความคิดแย่ๆออกไป และเปิดโอกาสให้คนอื่นได้สัมผัสพลังงานด้านบวกของคุณสิ แล้วคุณก็จะสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านบวกจากพวกเขาด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใดของชีวิตก็ตาม คุณก็สามารถนำเคล็ดลับทั้ง 7 ข้อนี้ไปใช้ได้เสมอ เพราะยิ่งคุณคิดบวกมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้สิ่งดีๆกลับมาเท่านั้น

 

Source: success