วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ลงมือ ลงทุน ลงใจ แบรนด์ยีนส์ไทย “บิ๊กแบร์”

ลงมือ ลงทุน ลงใจ แบรนด์ยีนส์ไทย “บิ๊กแบร์”

ตระเวนขายสินค้ากับทำเลตลาดนัดอยู่ประมาณ 3 ปี สินค้ากางเกงยีนส์มือสองเริ่มซบเซา ถึงตอนนั้นจึงเริ่มรับกางเกงยีนส์มือหนึ่งมาขายควบคู่ แต่ต่อมาเริ่มสู้ราคาไม่ไหว

“ตอนนั้นถูกใจยีนส์แบรนด์ไทยยี่ห้อหนึ่ง แต่เพราะเขาขายดีก็จะขึ้นราคาตลอด โดยเหตุผลมันไม่ใช่เพราะวัตถุดิบราคาสูง แต่เหมือนเขาขึ้นเพราะความต้องการสูง ผลิตไม่ทัน ผมว่าอย่างนี้คือเอาเปรียบลูกค้า ไม่ยุติธรรม ไม่มีคุณธรรม นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมคิดถึงการเป็นผู้ผลิตกางเกงยีนส์เอง และพอดีกับผมได้อ่านหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ซึ่งเขาพูดถึงเรื่องการสร้างแบรนด์ และการสืบทอดมรดกจากแบรนด์ จึงเหมือนแรงผลักให้ลุกขึ้นมาทำอย่างตั้งใจ”

แม้จะจับกางเกงยีนส์มานับหมื่นนับพันตัว แต่ทว่ากับการลงมือผลิต ความรู้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ฉะนั้น จึงต้องลงมือค้นคว้า

“ผมเริ่มคิดตั้งแต่ชื่อโดยมีหลักการว่า ต้องออกเสียงไม่เกิน 2 พยางค์ เป็นภาษาอังกฤษ ฟังแล้วคุ้นเคย ติดหูง่าย คำแปลต้องไม่เกี่ยวข้องกับผมหรือคนในครอบครัวหรือใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อความเป็นสากล ตอนนั้นคิดหลายชื่อ จนกระทั่งหลานของภรรยาพูดคำว่า บิ๊กแบร์ ออกมา ซึ่งผมถูกใจเลย เพราะตอนนั้นคำว่า บิ๊ก คุ้นหูคนไทย”

ส่วนกระบวนการผลิต คุณนุกูลเริ่มต้นด้วยการใช้เท้าและปากเดินเข้าไปสอบถามวิธีการทำยีนส์จากเพื่อนๆ คนรู้จัก จากคนขายกางเกงยีนส์ คนขายเสื้อเชิ้ต คนขายกางเกงสแล็ก แต่จะไม่สอบถามผู้ผลิตจำหน่ายกางเกงยีนส์โดยตรง เพราะไม่มีทางได้ข้อมูลแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อาจใช้วิธีแอบถามในฐานะลูกค้า

หลังรวบรวมข้อมูล จนได้แหล่งทำแพตเทิร์น ช่างตัดเย็บ และแหล่งซื้อวัตถุดิบ จึงลงทุนควักเงินประมาณ 30,000 บาท เพื่อผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง ในลักษณะจ้างผลิตทุกกระบวนการ

ทรงเพี้ยน ไม่ได้อย่างที่ตั้งไว้ นั่นคือบทสรุปของการลงทุนครั้งแรก อีกทั้งการควบคุมต้นทุนยังเป็นเรื่องยาก เพราะวัตถุดิบทุกรายการถูกส่งไปอยู่ในมือคนอื่น คุณนุกูลจึงคิดหาทางทำแพตเทิร์นให้ได้ด้วยตัวเอง

“เวลาลูกค้าซื้อกางเกงยีนส์ 1 ตัว สิ่งที่เขาคำนึงคือ เนื้อผ้า สี ทรง ส่วนสภาพไม่ต้องพูดถึง กางเกงใหม่สภาพดีทุกตัว แต่การจ้างแล้วออกมาไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น โอกาสทำตลาดมันเกิดยาก ผมจึงกลับมาศึกษารูปแบบ

แต่กับการจ้างผลิต ผมถือว่าเป็นความโชคดีสำหรับผมมากนะ เพราะเราคือลูกค้าของเขา สามารถยืนดูการทำงานของเขาได้ ใช้วิธีครูพักลักจำ แล้วกลับมานั่งทำแบบเอง จากคนไม่เป็นก็เป็นได้ จากนั้นพอลูกค้าลอง เราก็ดูว่าควรแก้ไขอย่างไร ปรับแบบอยู่ปีกว่า ทรงจึงออกมาลงตัว”

ทรงกระบอก คือทรงแรกเริ่มการผลิต เพราะอยู่ในความนิยมขายง่าย ความต้องการตลาดสูง แต่ต่อมาก็เริ่มออกแบบทรงอื่นๆ ตามมา ได้แก่ ขาเดฟ ขาม้า เอวสูง เอวต่ำ

“ผมว่าการทำงานเหมือนการขับรถ พอเราออกแบบทรงนี้ได้แล้ว จะออกแบบทรงอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรารู้ว่ากางเกง 1 ตัวประกอบด้วยอะไรบ้าง และจากกางเกงยีนส์สำหรับผู้ชาย ก็เริ่มผลิตกางเกงยีนส์สำหรับผู้หญิง มีกางเกงขาสั้นเข้ามาเสริมตลาด สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะลูกค้าเรียกร้อง ลูกค้าแนะนำ”

กับการทำตลาดในเบื้องต้นของกางเกงยีนส์ ภายใต้แบรนด์ บิ๊กแบร์ ต้องบอกว่ายิ่งกว่าคำว่ายาก เพราะสินค้าผลิตออกมาตอบโจทย์สรีระคนไทย แต่คนไทยกลับไม่ปลื้มสินค้าไทย

“มีลูกค้าขาประจำเดินเข้ามาในร้าน เขาเห็นยีนส์ของเรา จับเลย ชอบมาก สวยๆๆๆ พูดซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ด้วยความที่เราผลิตเอง ยืดอก บอกเลย ยีนส์บิ๊กแบร์ครับ ผมทำเอง ลูกค้าบอกสวยๆๆ แล้วก็ค่อยๆ วางลง เป็นอยู่เช่นนี้ จนผมรู้เลยว่าถ้าบอกเป็นฝีมือคนไทย แบรนด์ไทย ลูกค้าคนไทยไม่ยอมรับ ตั้งแต่นั้นผมไม่บอกเลยว่าเป็นกางเกงที่ผมทำเอง ยอมโกหกด้วยว่านำเข้า ใจคิดแค่อยากขายได้ และก็จริงครับ ขายได้ขายดีด้วย ทำอย่างนี้อยู่หลายปี จนในที่สุด ผมคิดว่าก็ผมทำเอง นั้นยืดอกยอมรับไปเลย ขึ้นป้ายใหญ่ บิ๊กแบร์ยีนส์ ยีนส์คนไทย และไปจดลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง”

สำหรับทำเลขาย คุณนุกูลเลือกเช่าแผงค้าในตลาดนัดจตุจักรจำนวน 2 ล็อก แล้วให้ภรรยาเป็นผู้ดูแลกิจการ ส่วนตนเองยังคงตระเวนขายไปตามตลาดนัด

จนกระทั่ง 3 ปีก้าวผ่าน ชื่อบิ๊กแบร์ เริ่มเป็นที่รู้จัก มีลูกค้าเดินทางมาตามหาตามซื้อ และไม่เฉพาะคนไทย แต่คนต่างชาติ กลับเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่ยอมรับในฝีมือ คุณนุกูลจึงหยุดการขายในตลาดนัด เพื่อเข้ามาดูแลกิจการกับแผงค้าตลาดนัดจตุจักรเต็มตัว

จากพื้นที่ค้า 2 ล็อก ค่อยๆ ขยับขยาย จนปัจจุบัน 14 ล็อก ถูกจับจองเพื่อวางจำหน่ายกางเกงยีนส์ ภายใต้แบรนด์บิ๊กแบร์ ทั้งหมด

 

ลองเท่าที่พอใจ ไม่ซื้อใส่ ไม่หน้างอ

การค้าปลีกและค้าส่ง เกิดขึ้นที่ตลาดนัดจตุจักรแห่งนี้ มีผู้รับไปจำหน่ายต่อทั่วประเทศไทย และมีผู้สนใจเดินทางมาซื้อปลีกเพื่อสวมใส่ไม่เฉพาะในประเทศ แต่ยังมีลูกค้าโซนเอเชีย เพราะสรีระเหมาะกับรูปทรงของบิ๊กแบร์ ส่วนราคาขายนั้น กำหนดขายปลีกเริ่มต้น 390-790 บาท โดยกลุ่มผู้ซื้อหลักอยู่ในช่วงวัยประมาณ 20-40 ปีขึ้นไป และกับทรงที่ขายได้เรื่อยๆ และกลับมานิยมอีกครั้ง หลังจากในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ขาเดฟมาแรง ได้แก่ ทรงกระบอกเล็ก

“จุดขายของผมคือความจริงใจ ผมเชื่อว่าถ้าลูกค้าลองแล้ว ได้สวมใส่แล้ว เขาจะยอมรับในแบรนด์ อีกส่วนหนึ่งที่ผมว่าเป็นหัวใจสำคัญของการค้าคือ ผมมองลูกค้าว่าเป็นผู้มีพระคุณ ผมและภรรยาจะให้ความสำคัญกับบริการ ใส่ใจลูกค้า เราตั้งนโยบายไว้เลยว่า สินค้าในร้านต้องติดป้ายราคาชัดเจน ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติขายราคาเดียวกันหมด และลูกค้าสามารถลองใส่ได้ทุกตัว และเมื่อลองแล้วจะซื้อหรือไม่ซื้อ เราจะไม่มีอาการหน้างอหรือพูดจาไม่ดีใส่ลูกค้า ส่วนลูกค้าที่ไม่ได้ลองที่ร้าน แต่กลับไปลองที่บ้าน ไม่ชอบ ไม่สวย ไม่ถูกใจ นำมาเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนลูกค้ารับไปจำหน่ายต่อ ถ้าซื้อรุ่นไหนไปแล้วขายช้าขายยาก นำมาเปลี่ยนรุ่นจนกว่าจะขายได้ นี่คือสิ่งที่เรามอบให้ด้วยความเต็มใจ”

จากการจ้างโรงงานตัดเย็บ แต่ก็เกิดปัญหาตามมามากมาย คุณนุกูลจึงลงทุนสร้างโรงงานผลิตเป็นของตนเอง ซึ่งนับมูลค่าการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท มีพนักงานรวม 80-90 ชีวิต โดยแบ่งเป็นโรงตัด เย็บ สร้างลาย บรรจุ ส่วนกรรมวิธีการฟอกนั้นยังจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านนอก

“ผมเคยทำงานอยู่บริษัทไฟแนนซ์ จึงให้ความสำคัญกับการอุดช่องโหว่ของธุรกิจ อย่างการตัดผ้า เรายกผ้าเป็นม้วนๆ ไปให้เขาตัด เราจะรู้โดยประมาณว่าตัดได้กี่ตัว แต่ไม่รู้การทำงานจริงเป็นอย่างไร แล้วเศษผ้าที่เหลือเขาก็ไม่ได้คืนกลับมา สุดท้ายจึงคิดว่าสร้างโรงงานผลิตเอง ซึ่งพอเราทำ ก็มองเห็นโอกาสในการต่อยอด อย่างเศษผ้านำมาผลิตเป็นกางเกงไซซ์เด็กได้ สามารถควบคุมผ้า ดูแลกระบวนการทำงานได้ทุกขั้นตอน”

กับการลงทุนสร้างโรงงานผลิต ก็ต้องล้อไปกับการขยายพื้นที่จำหน่าย เพื่อให้ฝ่ายโรงงานเดินงานผลิตได้ทุกวัน ซึ่งปัจจุบันบิ๊กแบร์มีสาขากว่า 10 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และเริ่มเจาะทำเลโมเดิร์นเทรด กับ เทสโก้ โลตัส ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายตอบความลงตัวในด้านผู้อุปโภค

“เราต้องรู้สินค้า รู้ตลาด รู้ว่าจะขายให้ใคร แล้วจึงมองไปที่ทำเล ซึ่งถ้าตรงจุด โอกาสขายได้จะตามมา ซึ่งตอนนี้ยอดขายอยู่ที่เดือนละประมาณ 10,000 ตัว”

กับการเดินสู่เส้นทางสายนี้ คุณนุกูล กล่าวอย่างเต็มภาคภูมิว่า เดินมาถูกทาง และจะยังคงก้าวเดินต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: