แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.สันต์ ขายเพชรสวย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.สันต์ ขายเพชรสวย แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี

โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี

(Gems and Gemology and Graphic design of school)หรือ GGG

199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร

ปัญหาการผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของการขาดแคลนผู้ชำนาญเฉพาะด้าน เช่น ด้านเทคโนโลยีช่วยผลิตชั้นสูง ด้านการผลิตด้วยเทคนิคชั้นสูง ด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก เป็นต้น การนำเทคโนโลยีชั้นสูงและเทคนิควิธีชั้นสูงมาช่วยผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลก จึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนที่รัฐให้การสนับสนุนในรูปแบบวิทยาการการศึกษาต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการรายเล็กต้องหันมาสร้างจุดแข็ง โดยเน้นการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด(Market share) กับผู้ประกอบการที่รายใหญ่ที่ถือครองส่วนแบ่งตลาดส่วนมากไว้ การพัฒนามิใช่แค่ด้านการออกแบบด้านเดียว จะต้องให้ความสำคัญกับเทคนิคการผลิตที่จะควบคุมต้นทุนโดยรวม และความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและบริการที่ลูกค้าไว้ใจได้ตลอดไป

ด้วยความตั้งใจ มุ่งมั่นในการสร้างอาชีพการออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณีให้แก่ผู้ที่สนใจ จึงได้วางรากฐานหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวอัญมณีและเครื่องประดับ เริ่มตั้งแต่ความรู้พื้นฐานจนกระทั่งความรู้ขั้นสูง เพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจที่จะประกอบอาชีพด้านนี้ วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อส่งเสริมอาชีพด้านเครื่องประดับอัญมณี อาทิเช่น ดีไซเนอร์ ช่างทำแม่พิมพ์ หัวหน้างานหรือผู้ประกอบการใหม่ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้สอนยินดีถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ เทคนิค Know how และอื่นๆ ด้วยความรักและประสงค์ดีแก่ผู้สนใจทุกท่าน ทั้งนี้ได้ตั้งชื่อว่า โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี (Gems and Gemology and Graphic design of school) หรือ GGG

สอนด้วยวิทยากรดีไซเนอร์ระดับประเทศและผู้บริหารโรงงานส่งออกเครื่องประดับส่งออกทั่วโลก

เตรียมเปิดสอนแล้ว#เฉพาะวันอาทิตย์ เวลา 9.00-16.00 น.

1. คอร์สออกแบบด้วยกราฟิก

   1.1 การออกแบบด้วย metrix basic sketch course 5วัน /15,000 บาท

   1.2 การออกแบบด้วย metrix advance sketch course 5วัน /15,000 บาท

   1.3 การออกแบบด้วย metrix mold & sample course 3วัน/10,000 บาท

2. การผลิตเครื่องประดับ

   2.1 Process make to order. (เถ้าแก่ร้านเพชร)1วัน /3,000 บาท

   2.2 Wax set technique design. (เน้นการทำพมพ์และใส่พลอย)1วัน /5,000 บาท

   2.3 Jewelry process & system management.(ผู้จัดการโรงงาน)1วัน /5,000 บาท

3.คอร์สบริหารจัดการและเทคนิคขั้นสูง

   3.1คอร์สออกแบบและประเมินราคาเครื่องประดับอัญมณี 1วัน/5,000บาท

   3.2คอร์สหลักการหล่อเครื่องประดับและหล่อฝังพลอยในเทียน(เน้นการหล่อและทำพิมพ์)1วัน/5,000บาท

   3.3คอร์สเทคนิคแม่พิมพ์สร้อยมัดกับการบริหารต้นทุนเวลา2วัน/5,000บาท

   3.4คอร์สการจัดการระบบโรงงานผลิตเครื่องประดับขนาดย่อม(SME)2 วัน/8,000บาท

   3.5 คอร์สดูเพชรแท้เพชรเทียม  ประเมินราคาเพชรสำหรับซื้อขาย 1วัน/5,000บาท

4.คอร์สช่างทำเครื่องประดับ  2วัน/4,400บาท

    4.1ช่างแว็กซ์

    4.2ช่างพิมพ์ ทำแหวนเพชร

    4.3ช่างฝังพลอย

    4.4ช่างซ่อมตัวเรือน

    4.5 ช่างทำกรอบพระ ตัดลาย

    4.6 ช่างชุบเงิน ชุบทอง

..รับไม่จำกัดวุฒิการศึกษา 5 คนต่อคอร์ส.

...เหมาะสำหรับกลุ่มหัวหน้างานหรือเจ้าของ
เราสอนให้วาดถูกต้องตามหลักการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม
สอนด้วยดีไซเนอร์ระดับประเทศ
สอนด้วยผู้จัดการฯโรงงานส่งออกระดับโลก
สอนด้วยผู้เชี่ยวชาญการผลิตและวิจัยและพัฒนาฯ

ที่ปรึกษาและฝึกอบรม
และรับสั่งทำแหวนเพชรราคาโรงงาน
http://gggschool.blogspot.com/
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
คุณสันต์: 091-8078228
Email : sanaw588@yahoo.com
Line ID : gemssan

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปี 2558-59

ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปี 2558เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนคาดว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.43 ตามคำสั่งซื้อโดยเฉพาะเครื่องประดับแท้อาทิ สร้อย แหวน จี้ และต่างหู จากตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เยอรมนี จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกอบกับมีการผลิตเพื่อทดแทนการส่งออกสินค้าจากสต๊อกด้านการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวม คาดว่า จะมีมูลค่าการส่งออก 11,405.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.14 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน  แต่หากไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ คาดว่า จะมีมูลค่า7,378.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยับตัวเพียง ร้อยละ 1.06 โดยยังมีฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ

การผลิตและการจำหน่าย
จากตัวเลขประมาณการภาพรวมปี 2558คาดว่า การผลิตเครื่องเพชร พลอย และรูปพรรณและของที่เกี่ยวข้องกัน ปี 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ดัชนีผลผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.43 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เบลเยี่ยม และความต้องการของตลาด ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเครื่องประดับแท้ อาทิ สร้อย แหวน จี้ และต่างหู จากตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เยอรมนี จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่งผลให้ดัชนีส่งสินค้าหรือดัชนีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.52 ขณะเดียวกันดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.47เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการสต๊อกสินค้าเพื่อทดแทนการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อรองรับความต้องการสำหรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในช่วงปลายปี

การตลาด
การค้าระหว่างประเทศ
การส่งออก
จากตัวเลขประมาณการภาพรวมปี 2558 (ตารางที่ 2)คาดว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) จะมีมูลค่า 7,378.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.06 โดยสินค้าที่มีผลทำให้มูลค่าการส่งออกขยายตัว ได้แก่พลอย ไข่มุก และเครื่องประดับแท้ทำด้วยโลหะมีค่าอื่น ๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.54   5.51และ8.24ตามลำดับ โดยมีแรงหนุนจากความต้องการซื้อสินค้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในช่วงปลายปีโดยเฉพาะตลาดส่งออกหลัก อาทิ ฮ่องกง สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซึ่งอยู่ในภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแม้จะในอัตราที่ไม่รวดเร็วมากนัก แต่ผู้บริโภคต่างเริ่มมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งนี้ หากรวมทองคำยังไม่ขึ้นรูปจะทำให้มูลค่าการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.14เนื่องจากการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่าสูงถึง4,027.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.88จากปี 2557 ซึ่งเป็นผลจากราคาทองคำเฉลี่ยในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากจากปีก่อน ทำให้มีการสั่งซื้อเพื่อเก็งกำไรและถือครองไว้

- ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกาโดยมีสินค้าส่งออกสำคัญในแต่ละตลาด ดังนี้

- ตลาดฮ่องกง ได้แก่ ทองคำยังไม่ขึ้นรูป เพชร พลอย และเครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง
- ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่ ทองคำยังไม่ขึ้นรูปและเครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง
- ตลาดสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง และทำด้วยเงิน เพชร และพลอย
การนำเข้า
จากตัวเลขประมาณการภาพรวมปี 2558 (ตารางที่ 3) คาดว่า การนำเข้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี และเงินแท่ง (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) จะมีมูลค่า2,808.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง ร้อยละ 3.59ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว โดยวัตถุดิบที่มีผลต่อมูลค่าการนำเข้าเพื่อการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ได้แก่ เพชร แพลทินัม รวมทั้งโลหะมีค่าและโลหะอื่น ๆ ลดลง ร้อยละ 9.5017.73 และ 12.88 ตามลำดับ เนื่องจากการผลิตเครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยวัตถุดิบดังกล่าวลดลง ตามคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงสำหรับมูลค่าการนำเข้าเครื่องเพชรพลอย  อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ ในภาพรวม คาดว่า จะลดลง ร้อยละ 9.24 จากปี 2557 เนื่องจากการนำเข้าทองคำยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่าลดลง ร้อยละ 11.10เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกเฉลี่ยยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน

แหล่งนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทย ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่นฮ่องกงสหรัฐอเมริกา และเบลเยียม โดยมีวัตถุดิบนำเข้าสำคัญในแต่ละตลาด ดังนี้

- ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่ ทองคำยังไม่ขึ้นรูป และเงิน
- ตลาดญี่ปุ่น ได้แก่ ทองคำยังไม่ขึ้นรูป เงิน และแพลทินัม
- ตลาดฮ่องกง ได้แก่ เพชร พลอย
- ตลาดสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ทองคำ และแพลทินัม
- ตลาดเบลเยียม ได้แก่ เพชร
นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
1. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ดำเนินกลยุทธ์เร่งด่วนเพื่อพัฒนา SMEs ไทยให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่ AEC ในปลายปี 2558 ผ่าน 3 โครงการหลัก ได้แก่ (1) โครงการเตรียมความพร้อมภาคอุตสาหกรรมในการเข้าสู่ AEC โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมรองรับ AEC การพัฒนาบุคลากร การให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถเชิงรุกสู่ตลาด AEC รวมทั้งนำผู้ประกอบการไปเจรจาธุรกิจ และทดลองตลาดในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน และอาเซียน+3 (2) โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ประกอบด้วย สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนัง อัญมณีและเครื่องประดับ ผ่านกิจกรรมหลัก อาทิ การพัฒนาบุคลากรด้านเทคนิคและการจัดการ การพัฒนานักออกแบบ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่น การสร้างกลุ่มเครือข่ายย่านธุรกิจแฟชั่น และการเพิ่มประสิทธิภาพตลอดสายการผลิต และ (3) โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไทยสู่การเป็นเถ้าแก่ใหม่ มุ่งเน้นการสร้างผู้ประกอบการให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจและดำเนินธุรกิจให้เติบโตและเข้มแข็ง

2. รัฐบาลได้ดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เห็นชอบ โดยมีพื้นที่เป้าหมายใน 10 จังหวัดชายแดน ซึ่งอัญมณีและเครื่องประดับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ กระทรวงการคลัง และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุข และการตรวจคนเข้าเมือง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนของประเทศร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย

สรุปและแนวโน้ม
สรุป
ภาพรวมการผลิตของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับปี 2558เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557คาดว่า จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.43ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลัก ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าทดแทนการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อรองรับความต้องการในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) ปี 2558คาดว่า  จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.06 ส่วนการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวมคาดว่า จะมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 13.14ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากจากปีที่ผ่านมา โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นได้ในปีนี้เป็นผลจากการส่งออก พลอย ไข่มุก และเครื่องประดับแท้ทำด้วยโลหะ มีค่าอื่น ๆ

การนำเข้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี และเงินแท่ง (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป)  ปี 2558คาดว่าจะลดลง ร้อยละ 3.59สำหรับการนำเข้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง และทองคำ ในภาพรวมคาดว่าจะลดลงเช่นกัน ร้อยละ 9.24เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว ประกอบกับราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นโดยแหล่งนำเข้าสำคัญ คือ สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฮ่องกงสหรัฐอเมริกา และเบลเยียม ซึ่งสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จะใช้เป็นวัตถุดิบในภาคการผลิต

แนวโน้ม
การผลิต ในปี 2559 คาดว่า การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับจะหดตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนเนื่องจากผู้ประกอบการเน้นที่จะส่งออกสินค้าจากสต๊อกทดแทนการผลิต โดยจะมีการผลิตในบางสินค้าเพื่อชดเชยสต๊อกบางส่วน

การส่งออก (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) ในปี 2559คาดว่า จะชะลอตัวลงเล็กน้อยทั้งนี้ หากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ที่มีความแข็งแกร่งขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพรวมการส่งออกของอุตสาหกรรมนี้ขยายตัวได้ เพิ่มขึ้น

การนำเข้า (ไม่รวมทองคำยังไม่ขึ้นรูป) ในปี 2559คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีการจัดหาวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าเข้าสต๊อกชดเชยปีก่อนหน้าที่เน้นการส่งออกสินค้าจากสต๊อกทดแทน โดยการนำเข้าในภาพรวมคาดว่า จะขยายตัวตามทิศทางการนำเข้าทองคำยังไม่ขึ้นรูปที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากนโยบายทางการเงินของสหรัฐอเมริกาที่อาจส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวในทิศทางที่ลดลง

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/oie/2347335

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

หน้าที่ของเจ้าของ.. เพิ่มความรู้... สร้างโอกาสต่อ...

คิดว่าต้องทำ... เพื่อสร้างธุรกิจ...ก็เสริมความรู้ในสิ่งที่ต้องทำ
... ความสุขของลงมือทำ.. คือ.. ได้แสดงความสามารถของตน

คอร์สความรู้จิเวลรี่.......ดูรายละเอียดคอร์สต่างๆ
http://gggschool.blogspot.com/
http://sanjewelrybuffet.blogspot.com/
http://gggschool.com/  คุณสันต์: 091-8078228
https://www.youtube.com/watch?v=u5P_lvdbHEE
Email : sanaw588@yahoo.com,Line ID : gemsara
โรงเรียนสอนออกแบบและผลิตเครื่องประดับอัญมณี
(Gems and Gemology and Graphic design of school)
199/499 ม.นัฎยา ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2559

ขายให้ใคร..

คิดจะทำธุรกิจให้สำเร็จ ต้องรู้จักผู้คน 4 แบบ

แบบที่ 1 คนไม่มีปัญหาให้แก้ และมีเงิน
แบบนี้เขาไม่ได้มีความต้องการอะไร
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย

แบบที่ 2 คนมีปัญหาให้แก้ แต่ไม่มีเงิน
แบบนี้เขาไม่มีปัญญาจะจ่าย
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย
อาจต้องช่วยเหลือแบบการกุศล

แบบที่ 3 คนไม่มีปัญหาให้แก้ และไม่มีเงิน
แบบนี้จริง ๆ ปัญหาเขาคือไม่มีเงินนั่นแหละ
จะขายอะไรให้ก็คงไม่ง่าย

แบบที่ 4 คนมีปัญหาให้แก้ และมีเงิน
แบบนี้แหละคือลูกค้าของเรา
เพราะเขามีปัญหา และมีเงินจ่าย

ใครอยากทำธุรกิจให้สำเร็จ
ต้องหาคนแบบทีี่ 4 ให้เจอ
เพราะนี่แหละคือลูกค้าหลักของเรา

#บอยวิสูตร

"พวกคนรวยเขากำลังทำอะไรกัน?"

ถ้าเพียงแต่คุณจะรู้เหมือนผมว่า
"พวกคนรวยเขากำลังทำอะไรกัน?"

บอกตรง ๆ
แล้วคุณจะขี้เกียจไม่ลง

พวกเขาขยันมาก
พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์
พวกเขากำลังเชื่อมโยงกัน
พวกเขาพาคนเก่งมาเจอคนเก่ง
พวกเขากำลังคัดกรองสายพันธุ์

พวกเค้ามีโปรเจ็คท์ใหม่ทุกวัน
พวกเขากำลังจะเปลี่ยนประเทศ
และพวกเขากำลังจะทำอะไรอีกมากมาย
ที่ไม่ช้าก็เร็ว มันจะส่งผลกระทบถึงเราทุกคน

ยุคก่อน แค่เก่งบวกขยันก็รวยแน่
แต่ยุคนี้ ขยันผิดที่ เก่งผิดทาง ดังแบบไม่มีเพื่อน
ก็ไม่แน่ว่าจะรวย

เพราะฉะนั้นคนไม่เก่งแล้วยังขี้เกียจน่ะเหรอครับ?
ผมล่ะเป็นห่วงจริง ๆ
เกรงว่าวันข้างหน้าจะไม่มีที่ยืน

ว่ากันว่าในอนาคตชนชั้นกลางจะหายไป
เปล่าครับ ไม่ใช่ขยับไปเป็นคนรวย
แต่ขยับลงมาเป็นคนจนต่างหาก!

โลกในอนาคต ถ้าไม่รวยก็จนไปเลย

อ่านมาแบบนี้ คงมีบางนึกด่าคนรวย
ก็ใช่สิ! ไอ้พวกนี้มันรวย มันโกงประเทศ

ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่ามีคนรวยเลว ๆ แบบนั้นจริง
แต่ผมไม่ได้หมายถึงคนรวยประเภทนั้น
ผมหมายถึงคนรวยที่สร้างตัวเองขึ้นมา
พวกเขาขยันมาก
...ขยันจนผมขี้เกียจไม่ลง

จำคำผมไว้
ช่องว่างคนจนกับคนรวยจะห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ

กฏ 80/20 จะกลายเป็น 95/5 หรือ 99/1 ไปเลย
จากทรัพยากร 80% ถูกครอบครองโดยคน 20%
จะกลายเป็นทรัพยากร 95%
ถูกครอบครองโดยคน 5%
เพราะพวกเขาเก่งและรู้จักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าคุณไม่ขยัน ถ้าคุณไม่ทำตัวเองให้เก่งขึ้น
ถ้าคุณไม่หัดสร้างคอนเน็คชั่น (ซึ่งสำคัญมากในยุคนี้)
มันก็มีแค่สองทาง

รวยหรือไม่ก็จนไปเลย

ขอให้โชคดีครับ

#บอยวิสูตร

ปั้นเพจให้ปัง

4 สิ่ง ถ้าทำได้ จะขายดี

1. ต้องปั้นเพจให้โต

ไม่ใช่การทำให้คนมากดไลค์เพจเยอะๆ แต่ต้องทำให้คนเห็นโพสต์เยอะๆ เมื่อมีคนเห็นโพสต์เยอะๆ จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ชอบเรื่องราวของเราแล้วกดไลค์เพจ จะทำให้เพจของเราเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเพจที่ซื้อไลค์สร้างภาพ

เพจที่ซื้อไลค์จะได้แค่ไลค์ แต่จะไม่ได้ใจ คือจะมีแค่แฟนเพจ แต่จะไม่มีแฟนคลับ ถ้าเรามองเฟซบุ๊คออก ไม่ว่าเราจะปั้นเพจไหนก็จะโตเพจนั้น และที่สำคัญ เพจของเราจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีคนคิดว่าเราซื้อไลค์ ทั้งๆที่เราไม่ได้ซื้อ (วันแรกก็เริ่มโตแล้ว)

ถ้าจะทำมาหากินบน Facebook อย่างเป็นเรื่องเป็นราว เราจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาศึกษาวิธีการปั้นเพจอย่างจริงจัง นี่คือเรื่องพื้นฐานที่เราต้องทำให้ได้ เพราะถ้าเราปั้นเพจไม่เป็นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น

2. ต้องทำให้คนรู้จัก

ถ้ายังไม่มีใครรู้จักแบรนด์ของเรา อย่าเพิ่งรีบขายอะไรทั้งสิ้น ต้องทำให้คนรู้จักมักคุ้นกับแบรนด์ของเราก่อน “แค่เห็น” กับ “รู้จัก” นั้นต่างกันมาก แบรนด์ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน ทั้งบุคลิกและนิสัยใจคอ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ถ้าสร้างการรับรู้แบรนด์ไม่ได้ก็สร้างแบรนด์ไม่ได้

การทำให้ผู้คนรู้จักมักคุ้นกับแบรนด์ของเรา เป็นเรื่องของการนำส่วนประกอบต่างๆของแบรนด์ เช่น ชื่อแบรนด์, โลโก้, สี และอื่นๆ ไปไว้ในส่วนต่างๆของเพจ เพื่อให้แบรนด์มีตัวตนที่ชัดเจน ถ้าตัวตนของแบรนด์ไม่ชัด ผู้คนก็จะไม่รู้จักแบรนด์

ตัวอย่าง : หากเราตั้งชื่อเพจเป็นคีย์เวิร์ด เท่ากับว่าเพจของเราไม่มีแบรนด์ เพจของเราก็จะเป็นแค่เพจขายของธรรมดาทั่วๆไป จะไม่ใช่แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ จะเป็นเพียงวลียาวๆรกๆ ที่เต็มไปด้วยคีย์เวิร์ดหรือคำอธิบายประโยชน์ของสินค้า

เมื่อโพสต์ของเราวิ่งผ่านตาใครก็จะไม่มีใครรู้จักว่าคือแบรนด์อะไร ถึงแม้ว่าเราจะสามารถทำให้คนเห็นโพสต์วันละเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคน ก็จะเสียเที่ยวทั้งหมด เพราะไม่มีใครรู้จักแบรนด์ แบบนี้ถือว่าไม่ได้สร้างแบรนด์

3. ต้องทำให้คนรักและไว้ใจ

ความน่าไว้ใจ เป็นสิ่งที่อยู่สูงกว่าความน่าเชื่อถือ การทำให้ผู้คนไว้วางใจ ต้องมีความน่าเชื่อถือเป็นพื้นฐาน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีสร้างความน่าเชื่อถือ แม้ว่าเราจะไม่มีเว็บไซต์ก็สามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับว่าเราใช้อะไรเป็นช่องทางในการทำตลาด แต่มันเกี่ยวกับว่าเราทำยังไงกับมัน

เพื่อให้เรามีความน่าเชื่อถือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำธุรกิจอย่างถูกกฎหมายและเสียภาษี (เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ใครๆก็ทำได้) เพราะถ้าแบรนด์ของเราไม่ถูกกฎหมายและไม่เสียภาษี แล้วใครที่ไหนจะมาเชื่อถือแบรนด์ของเรา เมื่อผู้คนไม่ให้ความเชื่อถือ เราก็จะไม่ได้ขาย

เมื่อแบรนด์ของเรามีความน่าเชื่อถือแล้ว ต่อไปก็เป็นการสร้างความน่าไว้ใจ ข้อนี้เป็นเรื่องพฤติกรรมของแบรนด์ล้วนๆ มันคือกุญแจไขหัวใจของผู้คน ให้เปิดรับข้อมูลจากแบรนด์ของเรา โดยแบรนด์ต้องทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมจนเป็นนิสัย ต้องมีคุณธรรมนำการค้า (ไม่ใช่การเสแสร้ง)

แบรนด์ต้องแสดงให้ผู้คนเห็นว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (ไม่ใช่การสร้างภาพ) ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้า ต้องอิน ต้องทุ่มเท โดยทั้งหมดต้องแสดงออกอย่างคงเส้นคงวา เพราะลูกค้าต้องการที่พึ่งระยะยาว แบรนด์ต้องเสนอตัวเป็นที่พึ่งระยะยาวให้กับลูกค้า จึงจะได้รับความไว้วางใจ

4. ต้องทำตัวให้มีราคา

อย่ายัดเยียดข้อมูลสินค้าจนน่ารำคาญ การทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ดีต่อแบรนด์ถือเป็นการทำลายแบรนด์ จะทำให้ข้อมูลสินค้ากลายเป็นขยะ ไม่มีใครสนใจ อย่ามุ่งแต่ทำให้คนเห็นโพสต์เยอะๆ โดยไม่สนใจว่าคนเห็นแล้วรักหรือว่าเห็นแล้วเกลียด

อย่าขายสินค้า แต่ให้สร้างแบรนด์ แล้วขายแบรนด์ เพราะถึงแม้จะเป็นสินค้าคุณภาพสูงระดับเทพก็จะขายยาก หากเป็นแบรนด์ที่ผู้คนยังไม่รู้จักและเป็นแบรนด์ที่ผู้คนยังไม่ไว้ใจ (คนยังไม่ให้ราคา) ในขณะที่บางเพจที่ขายสินค้าแบรนด์ดังลูกค้าแย่งกันซื้อก็มี

อะไรปิดการขายให้เรา?

คำถามที่ 1 : ถ้าเรามีกระเป๋าถือที่ดูดีมีระดับอยู่สองใบ ซึ่งเหมือนกันทุกประการ ไม่มีอะไรต่างกันเลย นอกจากเป็นคนละแบรนด์กัน ใบแรกเป็นแบรนด์ที่ไม่มีใครรู้จักเลย ส่วนใบที่สองเป็นแบรนด์ดังที่ผู้คนรู้จักกันดี หากเราขายกระเป๋าถือทั้งสองใบนี้ในราคาที่เท่ากัน (เพราะเหมือนกันทุกประการ) คำถามคือคนจะซื้อกระเป๋าถือใบแรกหรือซื้อใบที่สอง?

คำถามที่ 2 : ให้คนสองคนไปสร้างเพจขึ้นมาคนละเพจ แล้วขายกระเป๋าถือแบรนด์ดัง ของแท้ และเป็นสินค้าตัวเดียวกันเลย คนแรกเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการกระเป๋าถือ ส่วนคนที่สองเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก คำถามคือคนจะซื้อสินค้าตัวนี้กับใคร จะซื้อกับคนแรกหรือจะซื้อกับคนที่สอง?

คำถามที่ 3 : ให้คนสองคนขายพระเครื่องรุ่นดัง ของแท้ และเป็นองค์เดียวกันเลย คนแรกเป็นใครก็ไม่รู้ ส่วนคนที่สองเป็นเซียนพระที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีในวงการพระเครื่อง คำถามคือคนจะซื้อพระเครื่ององค์นี้กับใคร และใครจะขายพระเครื่ององค์นี้ได้ราคาสูงกว่ากัน?

จาก คำถามที่ 1 เราจะเห็นว่า สิ่งที่ปิดการขายคือแบรนด์ของสินค้า (Product Brand) ไม่ใช่ตัวสินค้า (Product)

จาก คำถามที่ 2 และ คำถามที่ 3 เราจะเห็นว่า สิ่งที่ปิดการขายคือผู้ขาย (Personal Brand) ไม่ใช่แบรนด์ของสินค้า (Product Brand) และไม่ใช่ตัวสินค้า (Product)

โดยสินค้าต้องเป็นของดีระดับเทพ เพื่อไม่ให้เสียชื่อผู้ขาย (เพื่อไม่ให้เสียแบรนด์) และเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำหรือบอกต่อ เพราะธุรกิจอยู่รอดได้ด้วยลูกค้าประจำ ไม่ใช่ลูกค้าจร ถ้ามีแต่ลูกค้าจรเราก็ต้องวิ่งหาลูกค้าใหม่ไปทั้งชีวิต

เราจะเห็นว่าสิ่งที่ปิดการขาย คือ แบรนด์ของสินค้าและขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ขาย ไม่ใช่ตัวสินค้าที่ปิดการขายให้เรา และสิ่งที่ทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นก็คือแบรนด์ของสินค้าและอยู่ที่ว่าใครเป็นผู้ขายเช่นกัน (แบรนด์ยิ่งดังราคายิ่งสูง, ผู้ขายยิ่งดังยิ่งขายได้ราคา)

จะเห็นว่าผู้ขายมีความสำคัญกว่าแบรนด์ของสินค้าและตัวสินค้าเสียอีกครับ เพราะความน่าเชื่อถือของคนจะส่งผลถึงสินค้าของเขา บางคนใส่ของแท้แต่คนตีเป็นของปลอมก็มี ในขณะที่บางคนใส่ของปลอมแต่คนตีเป็นของแท้ก็มีเช่นกันครับ (ถ้าขายตัวเองยังไม่ได้ อย่าเพิ่งขายอะไรทั้งสิ้น)

สินค้าแบรนด์ดัง ถ้าแกะโลโก้ออกไปให้หมด ให้เป็นแค่สินค้าที่ไม่มีแบรนด์ ก็จะไม่มีใครให้ราคา จะไม่มีใครอยากซื้อในราคาสูงๆ

แท้จริงแล้วผู้คนซื้อแบรนด์ เพราะต้องการความหมายในการใช้งานของแบรนด์ เพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน (ฐานะ, รสนิยม ฯลฯ) และซื้อความมั่นใจจากแบรนด์ เพราะต้องการแน่ใจว่าจะไม่ผิดหวัง ส่วนประโยชน์ในการใช้สอยสินค้าโดยตรงนั้นแทบจะเป็นประเด็นรองครับ

❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️ ❤️

พบกับคอร์ส “สร้างแบรนด์บน Facebook แบบมืออาชีพ” (Professional Branding on Facebook) ครั้งต่อไป รุ่นที่ 35 วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2559 เวลา 09.00 - 17.00 น. จัดที่ The Emerald Hotel ถนนรัชดาภิเษก ค่าใช้จ่ายที่นั่งละ 15,000 บาท รับเพียง 30 ที่นั่งเท่านั้น ดูรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ http://www.BRANDING.co.th

ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาให้ความสนใจ

อลงกรณ์ ดอกดวง
Founder and CEO of BRANDING.co.th

BRANDING AND SOCIAL MEDIA MARKETING STRATEGY (THAILAND) CO., LTD.

http://www.BRANDING.co.th

❤️ ❤️ ❤️