วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด

ท้าทายของผู้ประกอบการสมัยใหม่ !!

อย่างที่เรารู้กันดีว่าในปัจจุบันมีแบรนด์หน้าใหม่ออกมาตีตลาดกันมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่มากขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งถือเป็นแต้มต่อที่ดีที่จะทำให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จได้ไวขึ้น ซึ่ง การ สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด และแข็งแกร่งนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 ประการด้วยกัน ดังนี้

1. หาจุดยืนให้เจอ

การสร้างแบรนด์ผู้ประกอบการต้องทราบว่าธุรกิจของตนเองเป็นธุรกิจประเภทใด รวมถึงหาจุดยืนของธุรกิจตนเองให้เจอ ยกตัวอย่าง มีความสุภาพในการให้บริการ ซื่อสัตย์ในการให้ข้อมูล ที่จะทำให้ลูกค้าเห็นอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะกลายเป็นความผูกพัน และความรู้สึกที่ดีในระยะยาว

2. สร้างการรับรู้ของแบรนด์

การสร้างการรับรู้ของแบรนด์นั้นไม่ใช่เพียงแค่ใช้เงินจำนวนมากในการลงโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่ามีแบรนด์ของเราอยู่เพียงอย่างเดียว การทำเช่นนี้ทำให้คนรู้จักแต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องมีคนซื้อเสมอไป การสร้างการรับรู้ของแบรนด์จะต้องคิดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง คือ การที่เรานำแบรนด์ไปทำความรู้จักไม่ว่าจะเป็นรู้จักชื่อแบรนด์ รู้ถึงคุณภาพของสินค้าที่เราสร้างขึ้น เพื่อก่อให้เกิดความผูกพันระยะยาว ในการสร้างการรับรู้แบรนด์มีคำถามที่เราต้องคิดถึงอยู่เสมอว่า “จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์ของเราเมื่อถามถึงสินค้าในหมวดนี้”

3. ทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจในแบรนด์ของเรา 

เพื่อให้กลุ่มลูกค้ายังคงอยู่กับแบรนด์เราไปอีกนาน เจ้าของธุรกิจจำเป็นที่จะต้องคอยพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้คู่แข่งตามไม่ทัน ซึ่งทำได้จากการหมั่นสังเกต สอบถาม ตรวจวัดความรู้สึกของกลุ่มลูกค้า เพื่อทราบถึงความต้องการและความพึงพอใจในการใช้บริการแบรนด์ของเรา

รู้อย่างนี้แล้วผู้ประกอบการรายใดทีกำลังทำธุรกิจหรือกำลังเริ่มต้นจะทำธุรกิจคงจะรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่าการ สร้างแบรนด์ให้ติดตลาด สำคัญกับการทำธุรกิจอย่างไร เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มต้นสร้างแบรนด์ให้ออกมาดี ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมค่ะ

Round 1.01ct H VVS1 3EX N. GIA 2166694391

📢 📢 📢 โปรโมชั่นเพชรสวย ลดราคาพิเศษ 23% ราคาโรงงานมาแล้วค่ะ  📢 📢 📢

💎 💎 Round 1.01ct H VVS1 3EX N. GIA 2166694391 จากราคาปกติ " 291,890 บาท “

👍🏻การันตีคัดมาแบบ ไม่มีจุดดำไม่เหลือบสีน้ำตาลหรือสีเขียวและเพชรใสไม่ขุ่นแบบน้ำนมที่เรียกว่า "มิลค์กี้" ( No BGM) รับประกันการเล่นไฟด้วยการคัด Luster = Ex พร้อมกับ H&A = EX

วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทำอย่างไร? ให้ “คนรุ่นใหม่” อยากทำงานกับองค์กรของคุณไปนานๆ

ทำอย่างไร? ให้ “คนรุ่นใหม่” อยากทำงานกับองค์กรของคุณไปนานๆ

THE ENSURE TEAM1 month agono commentคนรุ่นใหม่ทำงานวัยรุ่นสภาพแวดล้อม

128VIEWS

คนรุ่นใหม่ มีทัศนคติและค่านิยมในการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมักมองหาความก้าวหน้า ความท้าทาย และค่าตอบแทนเป็นหลัก ต่างจากคนรุ่นก่อนที่เลือกความมั่นคงในหน้าที่การงาน นอกจากงานประจำแล้ว คนรุ่นใหม่ยังพร้อมจะหารายได้เสริมจากช่องทางอื่นๆ ด้วย บางคนอาจหันไปทำฟรีแลนซ์เต็มตัว เพื่อให้อิสระในการใช้ชีวิตกับตัวเอง นี่จึงทำให้องค์กรต้องปรับวิธีบริหารงาน เพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่อยู่กับองค์กรนานขึ้น

เว็บไซต์จ๊อบไทยดอทคอม (JobThai.com) จึงได้ทำแบบสำรวจความคิดเห็นคนทำงานรุ่นใหม่ทั่วประเทศกว่า 1,500 คน พบว่ามี 5 สิ่งที่ คนทำงานรุ่นใหม่มองว่าเป็นแรงจูงใจให้อยากทำงานอยู่กับองค์กรไปนานๆ ดังนี้

• สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี 15.07%

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานของพนักงาน หากองค์กรมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี ยิ่งจะช่วยทำให้พนักงานเกิดความพึงพอใจในการทำงาน สามารถทำผลงานให้ออกมาดียิ่งขึ้น ที่สำคัญนอกจากจะช่วยรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรแล้ว ยังเป็นปัจจัยดึงดูดความสนใจของบุคลากรที่มีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรอีกด้วย

• เส้นทางความก้าวหน้าในสายงานที่ชัดเจน 13.08%

คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีความกระตือรือร้นและต้องการความสำเร็จในการทำงานที่รวดเร็ว ดังนั้นหากองค์กรสามารถสื่อสารให้เห็นถึงความก้าวหน้าหรือช่องทางการเติบโตในสายงานได้อย่างชัดเจน ก็จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ให้อยากทำงานกับองค์กรต่อไป

• งบประมาณในการอบรมพัฒนาความรู้ของพนักงาน 12.36%

เพื่อแสดงให้เห็นว่าองค์กรให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรให้สามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีกับองค์กร และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อการเติบโตไปพร้อมกับองค์กรในระยะยาว

• ความสัมพันธ์ที่ดีภายในองค์กร 11.62%

ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นสิ่งที่ช่วยให้การดำเนินงานในองค์กรราบรื่น การพูดคุยและประสานงานในแต่ละหน่วยงานล้วนมีผลมาจากความสัมพันธ์ทั้งสิ้น ดังนั้นหากองค์กรรู้จักสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กรก็จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงาน ทำให้พนักงานเกิดความพึงพอใจ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

• เปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพและความคิดเห็นอย่างเต็มที่ 11.48%

การที่พนักงานได้แสดงศักยภาพและความคิดเห็นจะทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองกรค์ อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรได้เห็นมุมมองหรือไอเดียใหม่ๆ ที่อาจต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้

คนรุ่นใหม่ กับเป้าหมายในอีก 10 ปีข้างหน้า
1. เจ้าของกิจการ คิดเป็น 55.24%
2. ข้าราชการ คิดเป็น 21.22%
3. พนักงานเอกชนขององค์กรต่างประเทศ คิดเป็น 6.79%
4. พนักงานรัฐวิสาหกิจ คิดเป็น 6.47%
5. พนักงานเอกชนขององค์กรไทย คิดเป็น 6.08%

7 สัญญาณ บ่งบอกว่าคุณจะต้องมองหางานใหม่แล้วล่ะ!

7 สัญญาณ บ่งบอกว่าคุณจะต้องมองหางานใหม่แล้วล่ะ!

THE ENSURE TEAM6 hours agono commentลาออกหางานใหม่

75VIEWS

สิ่งไม่น่าเชื่อที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณตัดสินใจที่จะลาออกก็คือเพื่อนร่วมงานเริ่มสนใจในตัวคุณมากยิ่งขึ้น คุณอาจได้พูดคุยกับคนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อนเลยก็ได้ และสิ่งที่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จะพูดคุยกับคุณก็คือความรู้สึกของพวกเขากับงานที่ทำ โดยเฉพาะความคิดเห็นในเชิงลบ จากการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเรื่องความหนักใจในการทำงาน วันนี้เรารวบรวม 7 สัญญาณร้ายที่บอกได้เลยว่าได้เวลาที่คุณจะต้องเริ่มมองหางานใหม่ๆสักที มีอะไรบ้างนั้นไปชมกัน

 

1. คุณไม่กล้าที่จะพูดความจริงในที่ประชุม

ถ้าหากทุกครั้งที่มีการประชุมโดยที่คุณจะต้องออกความเห็นที่น่าฟังให้แก่เจ้านายของคุณ หรือคุณไม่สามารถออกความเห็นที่ขัดแย้งกับเจ้านายของคุณได้ มันถือว่าเป็นการเปลืองเวลาไปเสียเปล่า ซึ่งหมายความว่าคุณอยู่ในองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ปิดกั้นที่จะยอมรับความคิดเห็นของพนักงาน

2. คุณไม่สามารถตัดสินใจได้ถ้าหากไม่มีผู้สนับสนุนความคิดเห็นของคุณ

จริงอยู่ที่การรับฟังความเห็นของคนอื่นๆ หรือรับรองการอนุมัติก่อนตัดสินใจทำงานต่างๆ เป็นเรื่องที่ดี เป็นความรอบคอบและลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากคุณจะต้องรอคำอนุมัติทุกๆ ครั้งที่ตัดสินใจ แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถือว่าองค์กรที่คุณทำงานด้วยไม่มีความเชื่อใจในตัวคุณเลย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสังคมองค์กรแบบนั้นอีกต่อไป

3. คุณมักจะได้รับข้อความกลางดึกและทุกวันหยุดสุดสัปดาห์

การทำงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อเตรียมพร้อมกับการทำงานอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเจ้านายของคุณคาดหวังให้คุณตอบข้อความกลางดึกและในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แล้วล่ะก็ คุณควรรู้ได้เลยว่ากำลังทำงานให้คนผิดคน

4. คุณมักจะถอนหายใจยาวๆ ทุกเช้าก่อนไปทำงานเสมอ

ถ้าหากคุณจะต้องกังวลทุกๆเช้าก่อนไปทำงานล่ะก็ ควรคิดกับตัวเองให้ดีว่างานนั้นดีกับคุณจริงหรือไม่ คุณจำเป็นที่จะต้องอดทนทำงานนั้นไปเพื่ออะไร สิ่งที่คุณกำลังทำจะส่งผลดีต่อชีวิตของคุณหรือไม่ ถ้าหากคำตอบเหล่านี้เป็นไปในทางลบ คุณควรเตรียมเก็บของหางานใหม่ได้เลย

5. คุณได้รับข้อความจากหัวหน้าของคุณในทุกๆ เช้า

ทุกๆเช้าเราควรเติมพลังเพื่อสร้างวันใหม่ที่สดใส หลายคนอาจจะเลือกอ่านหนังสือเล่มโปรด ออกกำลังกาย หรือนั่งจิบชาเพลินๆ แต่ถ้าหากทุกๆ เช้าของคุณต้องถูกทำลายลงด้วยข้อความจากเจ้านายคุณแล้วล่ะก็ บอกลางานของคุณคือทางเลือกที่ดีที่สุด

6. คุณต้องหยุดกิจวัตรประจำวันหลายๆ อย่างไปเพื่องานนี้

คุณเคยที่จะต้องหยุดออกำลังกาย หรือหยุดงานอดิเรกต่างๆที่คุณเคยทำอยู่บ่อยๆ เพราะทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาทำสิ่งอื่นๆหรือไม่? ถ้าหากคุณเคยเจอสถานการณ์แบบนั้น คุณควรมองหาสาเหตุหลักและแก้ไขมันซะ ก่อนที่คุณจะสูญเสียเวลาชีวิตกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่า

7. เจ้านายคนนั้นไม่เคยเข้าข้างคุณเลย

เหมือนเป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะรับแต่ แต่จริงๆแล้วมันส่งผลกระทบมากกว่าที่คุณคิด การที่เจ้านายไม่เคยเข้าข้างคุณนั้นทำให้คุณไม่มีอำนาจมากพอในการตัดสินใจหรือทำงานต่างๆในองค์กร ถ้าหากคุณจะต้องต่อรอง เจรจา หรือเกิดข้อขัดแย้งขึ้นกับเพื่อนร่วมงานของคุณ เตรียมตัวไว้ได้เลยว่าคุณจะกลายเป็นผู้เสียเปรียบทุกครั้งไป

ใครหลายคนต่างเคยทำผิดพลาดกับตัวเองโดยการใช้เวลาไปกับการทำงานที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต บ้างก็สามารถทนได้แค่ 2-3 เดือน บ้างก็อดทนไปได้ถึง 20 ปี สิ่งที่คุณควรทำคือพิจารณาอยู่เสมอว่าคุณกำลังทำอะไร และสิ่งนั้นส่งผลต่อชีวิตคุณมากน้อยเท่าไร รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตของคุณต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอุทิศตัวไปโดยเปล่าประโยชน์

 

ที่มา inc-asean.com

สิทธิบัตร อนุสิทธิบัตร

สิทธิบัตร/อนุสิทธิบัตร

สิทธิบัตร (Patent) หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด เป็นสิทธิพิเศษ ที่ให้ผู้ประดิษฐ์คิดค้นหรือผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ มีสิทธิที่จะผลิตสินค้า จำหน่ายสินค้าแต่เพียงผู้เดียว ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การประดิษฐ์ (Invention) หมายถึง ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิตการรักษา หรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น หรือทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ ที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น กลไกของเครื่องยนต์ ,ยารักษาโรค, ,วิธีการในการเก็บรักษาพืชผักผลไม้ไม่ให้เน่าเสียเร็วเกินไป เป็นต้น 

อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) คือ หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์จะมีลักษณะคล้ายกันกับการประดิษฐ์ แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อย และมีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น

สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร หรือ PCT

PCT ย่อมาจาก Patent Cooperation Treaty เป็นความตกลงระหว่างประเทศสำหรับการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ในประเทศที่เป็นสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระของผู้ขอรับสิทธิบัตร แทนที่จะต้องไปยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศต่าง ๆ แต่ละประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะขอรับความคุ้มครอง โดยสามารถที่จะยื่นคำขอที่สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศ ของตน สำนักงานสิทธิบัตรก็จะส่งคำขอไปดำเนินการตามขั้นตอนของระบบ PCTที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)

ระบบ PCT นี้ไม่ได้เป็นระบบการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรที่จะส่งผลให้ประเทศที่เป็นสมาชิกต้องรับจดทะเบียนตามไปด้วย เนื่องจาก ระบบ PCT จะมีการดำเนินการในขั้นตอนต้น ๆ ของการขอรับสิทธิบัตรเท่านั้น ไม่มีการรับจดทะเบียนแต่อย่างใด การรับจดทะเบียนสิทธิบัตร PCT เป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะขอความคุ้มครอง ซึ่งจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกฎหมายภายในประเทศนั้น ๆ ก่อนรับจดทะเบียนสิทธิบัตรต่อไป ซึ่งประเทศไทยสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 ถือเป็นสมาชิกลำดับที่ 142

 

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

25 สุดยอดคำคมที่ “ริชาร์ด แบรนสัน” ชื่นชอบเป็นอย่างมาก!

25 สุดยอดคำคมที่ “ริชาร์ด แบรนสัน” ชื่นชอบเป็นอย่างมาก!

ตุลาคม 16, 2017

ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) เศรษฐีพันล้านผู้ก่อตั้ง Virgin Group บริษัทระดับโลกสัญชาติอังกฤษ มักจะสรรหาวิธีต่างๆ ที่จะช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จ และเขาก็ได้เขียนบล็อกแบ่งปันประสบการณ์ เรื่องราว และแนวคิดต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผู้อื่นตามฝันและทำเป้าหมายให้สำเร็จเหมือนเขาให้ได้ด้วย

ทุกบทความที่แบรนสันด์แบ่งปันในเว็บไซต์นั้น ล้วนแฝงคำคมที่เขาชื่อชอบอยู่เสมอ และเราจึงได้คัดเอาคำคมที่ดีที่สุดทั้งหมด 25 ประโยคที่พูดถึงความสำเร็จในหลากหลายด้านไปจนถึงวลีเด็ดที่แบรนสันด์ชอบที่สุด มาแบ่งปันให้กับคุณ ไปชมกันเลย!

 

การเล่าเรื่อง
“การเล่าเรื่องเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเผยแพร่ไอเดียสู่สาธารณะ” — โรเบิร์ต แมคฟี บราวน์ (Robert McAfee Brown)

 

การให้
“ผมรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าศิลปะแห่งการใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับศิลปะแห่งการให้ คุณได้เติมเต็มตัวเองในขณะเดียวกันที่ได้ให้และได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น” — ลอว์เรนซ์ ร็อคเฟลเลอร์ (Laurence Rockefeller)

 

ความเป็นผู้นำ
“ความเป็นผู้นำ คือความสามารถในการแปรเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริง” — วอร์เรน เบนนิส (Warren Bennis)

ความล้มเหลว
“จงเรียนรู้ความสำเร็จจากความล้มเหลวที่เจอ เพราะมันคือก้าวที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จแล้วล่ะ” — เดล คาร์เนกี (Dale Carnegie)

ความเปลี่ยนแปลง
“ผู้ที่จะอยู่รอดได้ไม่ใช่ผู่ที่แข็งแกร่งที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เป็นผู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก” — ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)

การคิดบวก
“ผมคิดว่าอะไรก็เป็นไปได้ ถ้าคุณมีทัศนคติ มีความมุ่งมั่น และแรงปรารถนาที่จะทำ พร้อมกับให้เวลากับมัน” —  โรเจอร์ คลีเมนส์ (Roger Clemens)

ความใฝ่ฝัน
“การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการได้ใช้ชีวิตดั่งที่ฝันไว้” — โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey)

 

การสื่อสาร”
“ผู้ประสบความสำเร็จที่ผมรู้จักส่วนมาก มักจะเป็นผู้ที่ฟังมากกว่าพูดเสมอ”  — เบอร์นาร์ด บารัช (Bernard Baruch)

 

การหาโอกาส
“ผู้ประกอบการที่มีความสามารถจะมองหาความเปลี่ยนแปลงเสมอ เพราะพวกเขามองว่ามันคือโอกาส” — ปีเตอร์ ดรัคเกอร์ (Peter Drucker)

 

การคิด
“ความคิดจะเป็นไปได้ เมื่อมีจินตนาการเข้ามาข่วย” — แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ (Frank Lloyd Wright)

 

ความเป็นธรรม
“ความเป็นธรรมไม่ใช่เพียงแค่ทัศนคติ แต่เป็นทักษะที่ต้องสร้างขึ้นและถูกใช้อยู่เสมอด้วย” — บริต ฮูม (Brit Hume)

 

ความสุข
“ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างไว้เพื่อคุณ แต่เป็นสิ่งที่คุณสร้างจากการกระทำของตัวเองต่างหาก”  — องค์ดาไลลามะ (Dalai Lama)

 

ความมุ่งมั่น
“จำไว้เสมอว่าการฝ่าฟันผ่านความยากลำบากนั้น ย่อมมาก่อนความสำเร็จเสมอ” — ซาร่าห์ บอน แบรนน็อค (Sarah Ban Breathnach)

 

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว 
“ฉันสามารถทำสิ่งที่เธอทำไม่ได้ และเธอก็สามารถทำสิ่งที่ฉันทำไม่ได้เช่นกัน และเราสามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ หากเราร่วมมือกัน” — แม่ชีเทเรซา (Mather Terasa)

 

ความท้าทาย
“ความท้าทายต่างๆ ในชีวิต ไม่ได้มีเพื่อทำให้คุณรู้สึกท้อแท้ แต่เพื่อช่วยให้คุณได้ค้นพบตัวเองต่างหาก” — เบอร์นิซ จอห์นสัน รีกอน (Bernice Johnson Reagon)

 

การข้ามขีดจำกัด
“สิ่งเดียวที่ขวางกั้นคุณอยู่คือขีดจำกัดที่คุณสร้างขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง” — เซเลสทีน ชัว (Celestine Chua)

 

ความเสี่ยง
“เมื่อคุณรับความเสี่ยงคุณจะได้เรียนรู้ว่าบางครั้งคุณก็สำเร็จ แต่บางครั้งก็ต้องล้มเหลว และทั้งสองสิ่งนั้นสำคัญพอๆ กัน”  — เอลเล็น ดีเจนเนอเรส (Ellen DeGeneres)

 

ความสร้างสรรค์
“ความสร้างสรรค์ไม่มีวันหมด ยิ่งคุณใช้มันมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น”  — มายา แองเจลู (Maya Angelou)

ครอบครัว
“สิ่งอื่นอาจจะเปลี่ยนแปลงเราได้ แต่ครอบครัวจะเป็นสิ่งที่คงอยู่กับเราตั้งแต่ต้นจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต” — แอนโธนี่ แบรนต์ (Anthony Brandt)

การเชื่อมโยงกับผู้อื่น
“การเดินทางอาจเริ่มต้นด้วยการที่เราปล่อยให้ผู้อื่นพาเราไป และบางครั้งก็อาจเป็นเราเองที่ยื่นมือช่วยผู้อื่น” — เวร่า นาซาเรียน (Vera Nazarian)

 

การทำงานเป็นทีม
“พรสวรรค์อาจจะทำให้ชนะเกมหนึ่งได้ แต่ความฉลาดและการทำงานเป็นทีมเท่านั้นที่จะทำให้ได้แชมป์” — ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan)

การเรียนรู้
“การถ่อมตัวเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้ และชีวิตก็นับเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเรา” — เจมส์ จอยซ์ (James Joyce)

 

การเฉลิมฉลอง
“อย่าลืมฉลองกับความสำเร็จระหว่างทาง ก่อนที่มันจะนำคุณไปสู่่จุดปลายทางไว้ด้วยล่ะ” — เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela)

 

จุดเปลี่ยน 
“ไม่มีใครกลับไปเริ่มใหม่ได้ แต่ทุกคนสามารถเริ่มสร้างตอนจบใหม่ของตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้” — มาเรีย โรบินสัน (Maria Robinson)

 

และสุดท้ายนี้คือวลีสุดโปรดของแบรนสัน โดย วอลต์ ดิสนีย์ 
“ผมหวังว่าทุกคนจะไม่ลืมว่าดิสนีย์มีจุดเริ่มต้นมาจากหนูตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียวเท่านั้น” — วอลต์ ดิสนีย์ (Walt Disney)

 

Source : Entrepreneur

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กลยุทธ์ขายด้วยกลไกทางจิตวิทยา

การทำธุรกิจนั้น เป้าหมายสุดท้ายคือการให้ได้ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายขึ้นมากับสินค้าและบริการของธุรกิจนั้น ๆ ซึ่งยิ่งทำให้จ่ายมาก ก็ยิ่งทำให้เกิดผลประกอบการที่ดีมากตามมาสำหรับธุรกิจนั้นเอง แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้บริโภคนั้นสามารถจ่ายเงินมากขึ้น โดยตัวเองไม่สะดุดใจกับการจ่ายเงินนั้นขึ้นมา ซึ่งนี่เองที่กลไกทางจิตวิทยานั้นเข้ามาช่วยได้

จริง ๆ แล้วมนุษย์นั้นมีส่วนที่ทำอะไรไม่รู้ตัวหลาย ๆ อย่าง และการตัดสินใจหลาย ๆ อย่างก็เกิดขึ้นโดยระบบอัตโนมัติ เพียงแค่มีจุดกลไกบางอย่างไปกระตุ้นสมองให้เกิดการสั่งงานขึ้นมา ทั้งนี้เราเห็นตัวอย่างง่าย ๆ คือการที่มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงแล้วใช้อารมณ์ นำ เหตุผล อยู่ตลอดเวลา ลองดูตัวอย่างเวลาที่อยากได้อะไร เรามักจะหาเหตุผลมาสนับสนุนความเห็นนั้นจนได้ของชิ้นนั้นขึ้นมา ในผู้ชายจะง่ายมาก เช่นเลนส์กล้อง กันพลา หรือ เครื่องเกม ส่วนผู้หญิงนั้นจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์และกระเป๋า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถชักนำอารมณ์ต่าง ๆ ที่อยากได้อยู่แล้ว ให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาจากความอยากได้นั้นจากการใช้วิธีทางจิตวิทยามาโน้มน้าวพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาลองดู 2 วิธีกัน

1. สร้างสิ่งแทนเงิน : กลไกทางจิตวิทยาหนึ่งที่กลุ่มเว็บเงินแนะนำเพื่อที่จะทำให้ประหยัดเงินนั้นคือการใช้จ่ายผ่านธนบัตร หรือแบงก์ต่าง ๆ นั้นเอง เพราะด้วยการจับแบงก์เวลาใช้จ่ายเยอะ ๆ นั้นจะทำให้เกิดการนับจำนวนธนบัตรที่ต้องจ่ายออกมาไป ซึ่งยิ่งจ่ายมากจำนวนธนบัตรนั้นก็ยิ่งมากทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนับธนบัตรนั้นจะเกิดความเสียดายมากขึ้น ทีนี้พวกธนาคารก็อยากให้ผู้คนใช้จ่ายกับธนาคารมากขึ้น เพื่อที่จะได้เก็บค่าธรรมเนียม หรือดอกเบี้ยต่าง ๆ ออกมา แทนที่จะกู้เงินแล้วไปใช้จ่ายผ่านธนบัตรที่จะมีการใช้จ่ายยาก สิ่งที่ธนาคารทำนั้นคือการสร้าง บัตรพลาสติกขึ้นมา ที่ปัจจุบันเรารู้จักกันดีว่ามันคือ Credit Card นั้นเอง ด้วยความเราจับบัตรเครดิตนี้เราไม่ได้รู้สึกถึงตัวเงินจริง ไม่ต้องนับ ไม่ต้องรู้สึกว่ามันจ่ายเยอะ ทำให้เราใช้จ่ายได้ง่ายมากขึ้นอย่างมาก จนหลายคนเป็นหนี้บัตรกองโต (ดูเวลาโฆษณาบัตรเครดิต จะให้ความรู้สึกว่ามันจ่ายง่ายหรือมีเอกสิทธิ์การจ่ายเงินมากกว่า)

ทีนี้ลองเอาวิธีการสร้างสิ่งแทนเงิน หรือตัวแทนเงินนั้นขึ้นมา เพื่อให้ผู้บริโภคนั้นจ่ายง่ายขึ้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการทำแบบนี้คือ บัตร Starbuck Card ที่ให้คนนั้นเติมเงินลงไป เพื่อให้สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรหรือมือถือในการสั่งกาแฟได้ง่ายมากขึ้น ด้วยความสะดวกนี้ทำให้คนนั้นมีการเติมเงิน และใช้จ่ายผ่านบัตรนี้ได้ง่ายมากขึ้นไปอีกด้วย หรืออีกตัวอย่างคือบัตร 7-11 ต่าง ๆ ไม่ว่าจะบัตรเองหรือมือถือ ที่ทำให้เราเติมเงินมากมายเข้าไป และใช้ได้สะดวกสบะายมากยิ่งขึ้น ทำให้จำนวนการซื้อนั้นเพิ่มขึ้น หรือมีความถี่มากขึ้นไปอีกได้อย่างง่ายดาย

2. สร้าง Loyalty Program : การสร้าง Loyalty Program นั้นคือการสร้างสมาชิกของธุรกิจขึ้นมา ด้วยการสร้าง Loyalty Program นี้เราสามารถที่จะโน้มน้าวการใช้จ่ายมากขึ้นไปอีกผ่านการใช้การเก็บแต้ม หรือการใช้คูปองลดราคา คูปองเงินสดมากมาย ซึ่งด้วยวิธีการนี้ผู้บริโภคจะรู้สึกเหมือนมีภารกิจเพื่อที่จะให้ได้ของฟรีขึ้นมา หรือให้ได้สิ่งที่ต้องการขึ้นมาจากการเข้ามาใช้จ่ายผ่าน Loyalty Program แทนที่จะไปซื้อของที่ร้านอื่น ก็มาซื้อที่ร้านเราเพราะได้เก็บแต้มมากไปด้วย

ภาพจาก Starbucks Newsroom

ตัวอย่างง่าย ๆ อีกเช่นกันของ Starbucks Card ที่ให้คุณเติมเงิน และยังเป็นสมาชิก starbucks ที่มีภารกิจต้องเก็บดาวจนได้ดาวทองมา ซึ่งจะได้ของสมมนาคุณที่จะส่งมา หรือการที่มีโปรโมชั่นสมาชิกต่าง ๆ เพื่อสร้างการดึงดูดให้เกิดการซื้อขึ้นมา เช่น 1 แถม 1 หรืออื่น ๆ อีกตัวอย่างคือ Tops Supermarket ที่จะมีการส่งคูปองลดราคาสินค้า คูปองแทนเงินสดมา เพื่อให้ใช้เดินต่อเดือน ทำให้คนรู้สึกว่าต้องไปซื้อของแม้ว่าจะไม่อยากได้ก็ตาม เพราะกลัวพลาดโอกาสที่จะได้ของในราคาถูก ราคาสมาชิกขึ้นมานั้นเอง สิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ดีในเรื่อง Loyalty Program นั้นคือการที่สมาชิกอยู่มานาน ต้องได้สิ่งที่ดีกว่าสมาชิกที่เข้ามาใหม่ เพราะเมื่อไหร่ที่สมาชิกใหม่ได้อะไรที่ดีกว่า ย่อมทำให้คนอยู่มานานรู้สึกไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อนั้นเอง (ซึ่งในประเทศไทยไม่เข้าใจจุดนี้ เราเลยเห็นค่ายมือถือที่คนมาใหม่ได้อะไรดีกว่าคนอยู่ก่อนหน้านั้นเอง)

ทั้งนี้เมื่อรวมเอา 2 จุดนี้เข้าด้วยกัน เหมือนดังเช่นบัตร Starbucks หรือบัตร 7-11 นั้นเอง เราสามารถจะสร้างการใช้จ่ายกับกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายขึ้นมาให้เกิดการใช้จ่ายให้มากขึ้นได้ หรือสามารถสร้างความถี่ของการใช้จ่ายให้มากขึ้นไปอีกได้ และด้วยวิธีการนี้ยังสามารถสร้างสมาชิกต่าง ๆ ได้เพิ่มเติม ผ่านการให้รับรู้ว่าการใช้บัตร หรือการเข้ามาเป็นสมาชิกนั้นจะมีประโยชน์มากกว่า การไม่ได้เป็นสมาชิกได้อย่างไร โดยไม่ทำให้กลุ่มเป้าหมายใหม่นั้นรู้สึกว่าต้องลงทุน หรือรู้สึกไม่ต้องออกแรงอะไรนั้นเอง ซึ่งนักการตลาดสามารถเอาไปดูว่าธุรกิจตัวเองมีจุดไหนไหม ที่จะสามารถสร้างโอกาสเช่นนี้ได้ หรือร่วมกับคนอื่นในการสร้างการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาได้ไหม

 

ที่มา marketingoops.com