วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 คิดให้ทันโลก โดย ทนง โชติสรยุทธ์


ทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21

นอกเหนือจากการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ทักษะที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึง คือ การสนุกกับการแก้ไขปัญหา จะดีมากหากสามารถที่จะพัฒนาเด็กไทยให้รองรับกับการแก้ไขปัญหาได้

แนวคิดของ OECD (องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ)

หัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่ดีและแข็งแรง ในการที่จะทำให้ประเทศนั้นๆ มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนประเทศนั้นควรมีขีดความสามารถอย่างไร ?

มีความสามารถอยู่ร่วมกันได้ดีในสังคมที่หลากหลายและแตกต่างทางความคิด แน่นอนว่าถ้าสังคมหลากหลายแต่หากสามารถคุยกันรู้เรื่องได้ สามารถปรองดองได้ ก็สามารถอยู่ร่วมกันและพาประเทศให้แข็งแรงได้มีความสามารถในการจัดการกับชีวิตและสภาพงานของตนได้ ถ้าแต่ละคนจัดการชีวิตตนเองเป็น จัดการรับผิดชอบเรื่องของตนเองได้ ก็จะเป็นเรื่องดีกับภาพรวมทั้งประเทศที่จะสามารถทำให้ดำเนินสิ่งต่างๆ ได้อย่างราบรื่นมีความสามารถในการใช้เครื่องมือช่วยต่างๆ ได้ดีและตระหนักบทบาทในวงกว้าง (ภาษาข้อมูลความรู้และฮาร์ดแวร์)

การใช้ภาษาในการหาความรู้ ติดต่อสื่อสาร ขยายการพัฒนา ต้องรู้จักการจัดการข้อมูลความรู้ แยกแยะข้อมูลอย่างมีเหตุผล รู้เท่าทันโซเชียลมีเดีย คิดวิเคราะห์เพื่อให้รู้เท่าทัน คิดหาแรงจูงใจถึงที่มาของข้อมูล รู้ทันซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานชัดเจนมากขึ้น

การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเสมือนเป็นการสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นๆ ให้แข็งแรง จาก 3 หัวใจหลัก ดังกล่าว จึงทำให้ประเทศชั้นนำหลายประเทศอย่าง ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฟินแลนด์ ปรับระบบการศึกษาตามหัวใจทั้งสามข้อนี้ ภายหลังจึงมีการออกแบบการสอบ Piza ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อวัดความสามารถและคุณภาพบุคลากรของแต่ละประเทศ โดยวัดจากเด็กอายุ 15 ปีที่จะเป็นแรงงานทางเศรษฐกิจในอนาคต และผลสรุปของประเทศไทยยังคงเส้นคงวา ไม่ได้พัฒนาไปจากเดิมเท่าใดนัก

ในภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากการพัฒนาแนวคิดในปี พ.ศ.2551 ทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 นอกเหนือจากการศึกษามีทักษะอะไรบ้างที่จะทำให้ประชากรอยู่รอด

การมีทักษะชีวิตและทักษะวิชาชีพ (Life and Career Skills)

รู้จุดมุ่งหมายของชีวิตมีแรงบันดาลใจรู้จักวางแผนกล้าตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่เกิดจากการตัดสินใจทำงานมุ่งหวังผลสัมฤทธิ์ รู้จักประเมินตนเอง มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวสร้างสมดุลในชีวิตได้ ล้มแล้วลุกเป็น มีทักษะสังคมและการเรียนรู้ที่สร้างความเข้าใจที่ข้ามวัฒนธรรม/ มีความสามารถในการเป็นผู้สร้างงาน/ ผลิตงาน/ ปรับปรุงงาน

การมีทักษะการเรียนรู้และทักษะสร้างนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) เน้นจากแนวคิดหลักเรียกว่า 4 CCritical thinking การคิดวิเคราะห์เป็นแก้ปัญหาเป็น
Communication การสื่อสาร พูดและสามารถเข้าใจกัน 
Corroboration การร่วมกับคนอื่นได้ 
Creativity ความคิดริเริ่ม ความคิดสร้างสรรค์การมีทักษะในเรื่อง Information / Media / Technology (Digital Literacy Skills)

ต้องค้นหาให้เป็น เข้าใจถึงกลไกสาเหตุและเนื้อหา เข้าใจว่าคนอื่นเข้าใจอย่างไร ใช้ข้อมูลให้เป็น รู้เท่าทันข้อมูลและข่าวสาร รู้จักการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่อย่างชาญฉลาด

มีทักษะใน 3 วิชาหลัก ประกอบไปด้วยการเขียน สามารถจับประเด็นเป็น ย่อความเป็นการอ่าน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ย่อความ อธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจการคิดเลข แต่ไม่ใช่แค่การคิดเลขเป็นเท่านั้น ต้องใช้ตรรกะความคิดให้เป็น สามารถเข้าใจและอธิบายที่มาที่ไปของคำตอบได้ตระหนักในเรื่องสำคัญของศตวรรษที่ 21 ประกอบไปด้วย ความเป็นไปของโลก การเงิน สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และต้องเข้าใจถึงผลกระทบต่างๆ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ความเป็นไปของโลก การเงินธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ การเป็นผู้ประกอบการ เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่และตั้งใจทำให้มีคุณภาพความเป็นพลเมืองที่ดี (รู้หน้าที่ของตน/ ตระหนักในความรับผิดชอบ/ ยอมรับและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น/ เคารพในสิทธิของผู้อื่น) ถ้าเมื่อใดที่เราเคารพกันจะเป็นเสมือนการเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นสุขภาพ ต้องดูแลรักษาสุขภาพ โภชนาการ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตจัดการสิ่งต่างๆ ต่อไปได้อย่างราบรื่นสิ่งแวดล้อม เรียนรู้การใช้ทรัพยากร เรียนรู้การแบ่งบันกันให้เหมาะสม ไม่ละเลยหลักกฎหมายสิ่งแวดล้อม

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือ ขีดความสามารถ(Competencies)ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 อันได้แก่ การจัดการข้อมูล การทำงานร่วมกับผู้อื่น การจัดการชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ และการคิด การแก้ไขปัญหา การตัดสินใจ

นอกเหนือไปจากการใช้ขีดความสามารถของตนเอง การใช้ทักษะต่างๆ ของตนเองให้เป็นนั้นก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน จากผลสำรวจของ McKinsey สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุด คือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา คิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ รองลงมา คือ ความมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตนและการทำงานต่อมา คือ ความสามารถในการสื่อสารต่อรองให้เข้าใจ และถัดมาจะเป็น ความเป็น Teamwork ความสามารถในการเข้าใจกลไกของระบบดิจิตอล และความสามารถทางคณิตศาสตร์ ตามลำดับ

สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ 60 % ของงานในอนาคตยังไม่ถูกคิดค้นในวันนี้ และ 70 % ของงานใหม่เกิดจาก SME จากผลสถิติแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเราไม่สามารถสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมรองรับสถานการณ์ในอนาคตได้

แม้เราจะไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แน่นอน แต่การเตรียมตัวให้เพื่อให้มีความสามารถในการรองรับคืออะไร อะไรคือแก่นที่จะแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้? แสดงให้เห็นว่าการศึกษาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และต้องทำอย่างไรต่อไป ต้องใช้อะไร และยิ่งตอกย้ำอีกครั้งจากสถิติของการการจ้างงาน 33% นายจ้างที่รู้สึกว่าธุรกิจกำลังประสบความเสียหายอย่างร้ายแรงเพราะขาดแคลนผู้มีทักษะมาทำงาน 79% เยาวชนที่รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกเตรียมตัวมาให้พร้อมสำหรับการทำงาน 27% นายจ้างไม่สามารถหาคนมาทำงานได้เพราะคนที่มาสมัครงานมีทักษะไม่เพียงพอ ตัวอย่างผลประเมินจากสิ่งต่างๆข้างต้น ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการศึกษาไทยว่าไม่ได้ออกแบบมาสำหรับวิชาชีพต่างๆ เกิดมาอย่างไม่สอดคล้องกัน แม้จะมีการพัฒนาระบบEducationต่างๆ อันได้แก่ 1.0 การป้อนความรู้ทางตรงจากครู ซึ่งไม่เพียงพอ โดยมีการนำความสามารถทางเทคโนโลยีมาปรับใช้ ก่อให้เกิด Education 2.0 เป็นการเรียนรู้ผ่าน E-learning และต่อยอดเป็น 3.0 การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ทั้งนี้ 3 รูปแบบดังกล่าว ก็ยังไม่เพียงพอต่อเยาวชนไทยในการสร้างความรู้และนวัตกรรม จึงได้ทบทวนและปรับปรุงเพิ่มเติมที่ Education 4.0 เน้นที่การสร้างนวัตกรรม โดยข้อนี้ คือ หัวใจที่จะทำให้แต่ละประเทศมีคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนได้ เป็นการค้นหากระบวนการที่จะกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และสิ่งใหม่ๆ สามารถแบ่งได้เป็นกระบวนการ 5 ข้อ

อยากรู้อยากเห็น สงสัยและตั้งคำถาม สำรวจสืบเสาะ ท้าทายสมมติฐานยืนหยัดมุ่งมั่น อดทนกับความไม่แน่นอน ยืนหยัดต่อความยากลำบาก กล้าที่จะแตกต่างจินตนาการ เล่นกับความเป็นไปได้ สร้างความเชื่อมโยง ใช้ปรีชาญาณทำงานเป็นระบบ ประดิษฐ์และปรับปรุง พัฒนาเทคนิค วิเคราะห์วิจารณ์ทำงานร่วมกัน ร่วมมืออย่างเหมาะสม ให้และรับข้อเสนอแนะ แบ่งบันผลผลิต

สิ่งสำคัญของการสร้างประเทศชาติให้แข็งแรง คือ ขีดความสามารถในการแข่งขัน และหากเราทุกคนสนุกกับการแก้ปัญหา จะได้ผลอะไรเกิดขึ้น??

Productivity ในแต่ละวิชาชีพดีขึ้น จากเดิมดีขึ้นในเกณฑ์ที่ไม่พอต่อการเป็นประเทศที่พัฒนาเกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น หาก Productivity อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นเกิดนวัตกรรมมากขึ้นProducts / Services / Processเกิดผู้ประกอบการมากขึ้น/ เกิดSME มากขึ้นเปลี่ยนจาก สังคมขี้บ่น เป็น สังคมที่สนุกกับโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น ประเทศแข็งแรงขึ้นจะเริ่มต้นอย่างไรหาความหงุดหงิดรอบตอบ อาจจดใส่สมุด/ การหาความต้องการที่ซ่อนเร้น จากวิถีชีวิตที่เราคิดว่าปกติสร้างความแตกต่าง/ สร้างประโยชน์ใช้สอยที่มากขึ้น/ สร้างความประทับใจ เกิดเป็น การสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างนวัตกรรม เป็นผู้ประกอบการ Products / Services / Process

 หัวใจสำคัญเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง คือ การสร้างแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจเกิดขึ้นได้จากการอ่าน จากการได้รับฟัง จากการได้ดูภาพยนตร์ จากการได้สัมผัสตัวจริงที่ทำให้เกิดความประทับใจ จากการได้มีประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง และจากการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง จากการฟังไม่กี่อย่าง ไม่กี่นาทีก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณได้ และหากมีความสนใจเพิ่มขึ้น คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำโมเดลในการเปลี่ยนแปลงห้องสมุดคณะให้เป็นสถานที่แห่งแรงบันดาลใจ 

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

กฎ 20 ข้อ สำหรับ...นักธุรกิจหน้าใหม่

กฎ 20 ข้อ สำหรับ...นักธุรกิจหน้าใหม่

1) จงมี “ความฝันเป็นของตนเอง”
    เพราะ “ความฝัน” เป็นเหมือน “ความหวัง”
    ความหวัง นั้นจะทำให้ คุณเดินหน้า

2) จงอย่าหยุดเดิน...ไม่ว่าอุปสรรคจะใหญ่
    ...แค่ไหนก็ตาม

3) อย่าลืมว่า “เรารักในสิ่งที่เราทำ”
    “ความรัก” ตีค่าเป็น “เงิน” ไม่ได้
    แต่ ความรัก ทำให้ เรามีความสุขที่ได้ทำ

4) หากเกิดความผิดพลาด
    จงลงโทษตนเอง...ด้วยการทำงานหนัก
    ขึ้นอีกเป็น 2 เท่า

5) ไม่มีใครทำ “ความฝัน” ของเราให้เป็นจริงได้
    ยกเว้น...ตัวเราเอง

6) คนทั่วไป มักจะ “พูด...แต่ไม่ทำ”
    คนสำเร็จ มักจะ “ทำ...แต่ไม่พูด”

7) หากลงมือทำงานอย่างที่ไม่รู้อะไรเลย
    โอกาสประสบความสำเร็จ คือ 50 : 50
    หรือ โอกาสสำเร็จ 50%
    และ โอกาสล้มเหลว 50% เท่ากัน

8) คนประสบความสำเร็จ จะต้อง รู้ลึก + รู้จริง
    ในงานที่ตนปรารถนา
    การรู้ลึก + รู้จริง ทำให้ โอกาสที่จะสำเร็จ
    ย่อมมีมากกว่า 50% แน่นอน

9) โลกนี้เป็นของคนมี “ความพยายาม”
   หากเราคิดว่าเราพยายามแล้ว
   แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
   จงอย่าโทษฟ้า หรือ โทษกรรมใดๆ
   มันเป็นเพราะ “เรายังพยายามไม่เพียงพอ” เท่านั้นเอง

10) เมื่อไรที่เราคิดว่า “เราเก่ง”...เราจะเลิกเรียนรู้
     จงอย่าผยองว่า “ตนเองเก่ง”
     เพราะมันจะทำให้เรา “เลิกเรียนรู้อะไรใหม่ๆ”

11) คำว่า “ดวงดี” หมายความว่า...
    “การลงมือทำ อย่าง ถูกที่ + ถูกเวลา”
    ทั้งหมดอยู่ที่ตัวเราว่า เราจะลงมือทำเมื่อไร

12) วิธีที่จะ “ลงมือทำอย่างฉลาด”
     มีอยู่วิธีเดียว คือ “จงอย่าทำอะไร...โง่”

13) คนสำเร็จ มักจะ “สนุก...ในการทำงาน”
     คนล้มเหลว มักจะ “เครียด...เพราะไม่รู้จะทำยังไง”

14) เงินสด...สำคัญที่สุด
     จงรักษาเงินสดไว้อย่างดีที่สุด
     มันจะจำเป็นในการทำธุรกิจเสมอ

15) หากขายสินค้าแล้ว กลัวว่า จะเก็บเงินไม่ได้
    คำตอบ คือ “จงอย่าขาย”

16) ธุรกิจ คือ เกม
      เมื่อเราเล่มเกม ย่อมมีแพ้ + มีชนะ
      ก็ต่อเมื่อ กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา
      แต่การทำธุรกิจ...ไม่มีกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา
     ดังนั้น จงทำต่อไป...ทำต่อไป...ทำต่อไป

17) จงพยายาม “พึ่งตนเอง” ให้มากที่สุด
     เพราะ คนที่คอยพึ่งพ่อแม่ หรือ ญาติพี่น้อง
     ไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างจริงจัง
     และ พวกเขาจะร้องหาพ่อแม่ให้ช่วยตลอด
     ไม่ว่าจะเกิด “ปัญหาเล็ก” หรือ “ปัญหาใหญ่”

18) จงอย่าประเมิน “คู่แข่งต่ำเกินไป”
     เพราะนั่นหมายความว่า...
     เราเริ่มต้น ด้วย “ความประมาท”

19) อย่าพยายามสร้าง “ศัตรู”
     เมื่อคุณทำธุรกิจ “ศัตรู” จะเหมือน “เชื้อรา”
     มันจะ มีเพิ่มขึ้นเองโดยธรรมชาติ

20) จงตัดสินใจ ด้วย “เหตุผล” เสมอ
     อย่าตัดสินใจ ด้วย “อารมณ์”   

#DamrongPinkoon
#Startup
#SMEs
#Business
#SmartThinking
#ดำรงค์พิณคุณ

เล่าเรื่องการลงทุนแบบเข้าใจได้ง่ายๆ

เล่าเรื่องการลงทุนแบบเข้าใจได้ง่ายๆ

August 24, 2017

ไปถึงเส้นชัยได้ ก็เพราะมี “แพลน” ที่ดี #กองทุนกสิกรไทย

ทุกคนมีจุดมุ่งหมายของชีวิต
แต่ถ้าอยากไปถึงจุดมุ่งหมายที่เป็นเส้นชัยนั้น ก็ต้องมี “แพลน”
แต่คนเราก็มีวิธี “แพลน” ที่ไม่เหมือนกัน

บางคนชอบความแน่นอน ค่อยเป็นค่อยไปแบบมั่นคง
บางคนอยากเน้นคิดเร็วทำเร็ว เพื่อให้ไปถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้น

แล้วถ้ามีวิธี “แพลน” ไปสู่จุดหมายของชีวิตอยู่ 3 แบบ คุณจะเลือกไปถึงเส้นชัยด้วยวิธีใด
วิธี 1: เดินไปถึงเส้นชัยอย่างมั่นใจ ใช้ความระมัดระวัง ช้าแต่ชัวร์
วิธี 2: วิ่งเหยาะๆเพื่อไปถึงเส้นชัยให้เร็วขึ้น สะดุดบ้างเล็กน้อย แต่ยังทรงตัวไหววิ่งต่อไปได้
วิธี 3: วิ่งสุดตัวเพื่อไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด เพราะชีวิตเกิดมาทั้งทีต้องทำให้สุดๆ แม้หกล้มก็ลุกขึ้นใหม่ได้

ถ้าเปรียบจุดมุ่งหมายของชีวิตกับการลงทุน เป้าหมายของผู้ลงทุนก็คือการได้รับผลตอบแทนที่ดี

แต่ถ้าจะให้คิดหาวิธีการลงทุนเอง หรือแพลนเอง ก็อาจจะยากไป เพราะเดี๋ยวนี้วิธีการลงทุนมีมากมายและซับซ้อน บางคนจึงอยากได้สูตรสำเร็จที่มีคนคิดมาให้แล้วว่าดี

บลจ.กสิกรไทยมีกองทุนในกลุ่ม K-PLAN ที่แพลนมาให้แล้วว่าดี ไม่ต้องคิดเอง แค่เลือกง่ายๆ ตามสไตล์ที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด โดยมีให้เลือก 3 แบบ ตามสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้

K-PLAN 1 ก็เหมือนกับการเลือกใช้วิธีเดินไปถึงเส้นชัย เหมาะสำหรับคนต้องการโอกาสรับผลตอบแทนแบบเบสิคๆ แค่มากกว่าเงินฝากก็พอ ชอบความมั่นคง ไม่ชอบเสี่ยง โดยกองนี้จะลงทุนในตราสารหนี้ 100%

K-PLAN 2 เปรียบเหมือนการวิ่งเหยาะๆ ไปให้ถึงเส้นชัย เหมาะสำหรับคนต้องการเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนอีกหน่อย แต่ยังไม่กล้าเสี่ยงมาก โดยกองนี้จะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% และที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้

K-PLAN 3 เปรียบเหมือนการวิ่งสุดตัวเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยเร็วที่สุด เหมาะสำหรับคนต้องการโอกาสรับผลตอบแทนมากขึ้นไปอีก เสี่ยงได้ปานกลาง โดยกองนี้จะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 55% และที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้

พอเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุดได้แล้ว ก็อย่าลืมดูผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนประกอบด้วย

ทั้งนี้กองทุน K-PLAN 1 และ K-PLAN 3 ยังเป็นกองทุนที่ได้รับเรตติ้ง 5 ดาวจาก Morningstar®* ส่วนกองทุน K-PLAN 2 ได้รับ
เรตติ้ง 4 ดาว Morningstar®* จึงมั่นใจได้ถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
(*OverallRating โดย MorningstarⓇ วันที่ 31 ก.ค. 60)

ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน K-PLAN จากกสิกรไทย สามารถลงทุนง่ายๆ เริ่มต้นเพียง 500 บาท โดยขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.kasikornasset.com/Pages/K-PLAN/K-PLAN.html

ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

คอนโดน่าลงทุนในย่านรามอินทรา / โดย ผู้สนับสนุนเพจลงทุนแมน

8 ข้อผิดพลาด SME ออกบูทไปไม่ถึงฝัน

8 ข้อผิดพลาด SME ออกบูทไปไม่ถึงฝัน

​       การนำสินค้าไปออกบูทแสดงสินค้าเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมและมีความจำเป็นอย่างมากในการทำธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้กระแสทำการค้ากับประเทศอาเซียนมาแรง ใครๆ ก็อยากมีโอกาสนำสินค้าไปค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านกันทั้งนั้น เพราะนอกจากจะมีโอกาสนำสินค้าไปเสนอแล้ว หากสินค้าได้รับความนิยมอาจเป็นใบเบิกทางที่เจ้าของธุรกิจสามารถนำสินค้าไปขายได้ในระยะยาว แต่การออกบูทให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย หลายธุรกิจที่เคยไปออกบูทแล้วไม่ประสบความสำเร็จต้องถอยทัพกลับมาก็มีมากมาย ลองมาดูกันว่า 8 ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ออกบูททีไร...ไม่สำเร็จสักที ความรู้ดีๆ ที่ได้จากงานสัมมนา “เจาะตลาดเมียนมา กัมพูชา โอกาสเปิดเพิ่มยอดขาย” งานสัมมนาดีๆ ที่ธนาคารกสิกรไทยจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่สนใจลงทุนทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านไทย

       1. ป้ายชื่อบูทไม่โดดเด่น ป้ายที่ไม่โดดเด่น เวลาอยู่ในงานแสดงสินค้า ทำให้ลูกค้ามองข้ามบูทเราไปได้ง่ายๆ

       2. ไม่มีราคาสินค้าบอก ทำให้ลูกค้าไม่กล้าซื้อ เพราะอาจจะคิดว่าแพงเกินไป หากมีราคาสินค้าที่ชัดเจนจะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาซื้อได้ง่ายขึ้น

       3. สินค้าไม่พอ ผู้ประกอบการบางรายนำสินค้าไปทดลองขายน้อยเกินไป เนื่องจากการไม่มีข้อมูลหรือประสบการณ์ในการไปออกงาน ทำให้ไม่กล้าเอาสินค้าไปเผื่อมากจนเสียโอกาสการขายไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นการหาข้อมูลล่วงหน้าหรือถามจากผู้มีประสบการณ์จะช่วยคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่จะนำไปออกบูทได้

       4. ไม่มีสินค้าทดลอง ลูกค้าชอบทดลองใช้หรือชิมสินค้าก่อนที่จะซื้อ การมีสินค้าทดลองช่วยปิดการขายได้ง่ายขึ้น

       5. บูทโล่งเกินไป การตกแต่งบูทมีความสำคัญ หากโล่งเกินไปลูกค้าจะรู้สึกว่าไม่อยากเข้ามา เพราะไม่มีสินค้าอะไรให้ซื้อ ดังนั้นควรมีการประดับตกแต่งให้สวยงามเพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าในบูท

       6. ไม่มีนามบัตร การออกบูทไ​​​​ม่ใช่ว่าออกแล้วจบ บางครั้งลูกค้าอาจจะติดต่อเพื่อซื้อขายสินค้าหลังจากงานจบไปแล้ว การมีนามบัตรสำคัญและจำเป็นในการติดต่อมาก ผู้ประกอบการที่จะไปงานแสดงสินค้าไม่ควรลืม

       7. พนักงานในบูทไม่เพียงพอ การมีพนักงานขายน้อยเกินไป ทำให้ไม่พอกับความต้องการหากมีปริมาณลูกค้ามาก ดังนั้นควรเตรียมพนักงานขายไปให้เพียงพอเพื่อไม่พลาดโอกาสการขายสำคัญๆ

       8. พนักงานไม่เป็นมิตรกับลูกค้า หากเข้ามาที่บูทแล้วลูกค้าเจอพนักงานที่ไม่เป็นมิตร เขาพร้อมจะออกจากบูทและไปหาบูทอื่นทันที ดังนั้นควรมีการอบรมพนักงานก่อนการออกบูททุกครั้ง

       สิ่งที่อยากฝากผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการไปออกบูทแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ อย่าคิดเพียงว่าออกไปตั้งแผงโชว์และจำหน่ายสินค้าพอหมดวันก็เก็บของกลับบ้านเท่านั้น แต่ควรต้องหาข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับการออกงานแสดงสินค้าจากหน่วยงานราชการหรือจากรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ และอย่าลืมคำนึงถึงวิธีทำให้การออกบูทให้มีความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาชมซึ่งเป็นโอกาสต่อยอดธุรกิจในระยะยาวได้อีกทางหนึ่ง​​

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2560

10 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้คุณเป็น “คนน่าสนใจ” ยิ่งขึ้น

10 วิธีง่ายๆ ที่ทำให้คุณเป็น “คนน่าสนใจ” ยิ่งขึ้น

สิงหาคม 24, 2017

1.ออกสำรวจสิ่งต่างๆ

สำรวจแนวคิด, ความคิดเห็นของผู้คน รวมถึงสถานที่ต่างๆ ที่ยังไม่เคยไป ลองสำรวจดูซิว่าคนน่าเบื่อเขามีชีวิตประจำวันอย่างไร?

2. แบ่งปันสิ่งที่คุณค้นพบ

และจงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้อื่น เล่าให้คนอื่นฟังเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้ไปพบเจอมา

3. ทำอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้

เต้น พูดคุย ประดิษฐ์สิ่งของ ช่วยเหลือผู้อื่น มันไม่สำคัญว่าคุณจะทำอะไรตราบเท่าที่คุณทำมัน การนั่งอยู่เฉยๆ และบ่นไปเรื่อย ไม่ใช่การ “ทำอะไรสักอย่าง”

4. ภูมิใจในความประหลาดของคุณ

ไม่มีใครปกติ ทุกคนมีวิสัยทัศน์และความเข้าใจที่ไม่เหมือนใคร อย่าปิดบังสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูน่าสนใจ

5. สนใจอะไรสักอย่าง

ถ้าคุณไม่สนใจเกี่ยวกับอะไรเลย ก็จะไม่มีใครสนใจคุณเช่นกัน

6. ลดความกร่าง

เรากำลังพูดถึงอีโก้ ถ้าความเย่อหยิ่งของคุณชัดเจนกว่าความเก่งของคุณ คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบหา

7. ลองสิ่งใหม่

ลองเล่นกับความคิดใหม่ๆ ดู ทำอะไรแปลกๆ ถ้าคุณไม่เคยออกจากกรอบเดิมของคุณ คุณจะไม่มีการพัฒนา

8. ออกนอกกรอบ

“ถ้าสิ่งที่คุณคิดจะทำมีคนอื่นทำไปแล้ว แสดงว่าคุณสายไปเสียแล้ว” อย่าทำอะไรที่คนอื่นๆ เขาทำ ทำสิ่งที่แตกต่างและเป็นของคุณเอง จงออกนอกกรอบ

9. ให้ความกล้าหาญกับความกลัวเดินไปด้วยกัน

ความกล้าหาญเป็นสิ่งจำเป็น อาจจะมีความกลัวว่าทำไม่ได้ แต่คุณต้องหาจุดที่พอดีให้เจอ กล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ ไม่งั้นคุณอาจจะไม่มีวันพัฒนาและเป็นที่สนใจ

10. อย่าสนใจคนที่ชอบตำหนิ

เป็นคนน่าเบื่อนั้นปลอดภัยกว่าก็จริง เพราะคุณจะไม่โดนตำหนิเท่าไหร่ พวกเขาอาจจะอยากด่าคุณ แต่พวกเขาทำไม่ได้ เพราะคุณเป็นคนน่าสนใจ และพวกเขาเกลียดการการที่คุณเป็นคนน่าสนใจ

Source: Forbes