วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ราชวงศ์จักรี ครองราชย์

(ระยะการครองราชย์ในแต่ละรัชกาล)
ร.1 - 27ปี
ร.2 - 15ปี
ร.3 - 27ปี
ร.4 - 17ปี
ร.5 - 42ปี22วัน
ร.6 - 15ปี
ร.7 - 9ปี
ร.8 - 12ปี99วัน
ร.9 - 70ปี127วัน
วันเก็บไว้เล่าให้ลูกฟัง
รัชกาลที่ 1 ระยะเวลาครองราชย์  27 ปี
                    ตั้งแต่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน 2352
รัชกาลที่ 2 ระยะเวลาครองราชย์  15 ปี
                   ตั้งแต่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 - 7 กรกฎาคม 2367
รัชกาลที่ 3 ระยะเวลาครองราชย์  27 ปี
                   ตั้งแต่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 - 2 เมษายน พ.ศ. 2394
รัชกาลที่ 4 ระยะเวลาครองราชย์  17 ปี
                   ตั้งแต่ 6 เมษายน พ.ศ. 2394 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411
รัชกาลที่ 5 ระยะเวลาครองราชย์  42 ปี
                   ตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 (ครั้งที่ 1) 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416(ครั้งที่ 2)
                              - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
รัชกาลที่ 6 ระยะเวลาครองราชย์  15 ปี
                   ตั้งแต่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 - 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
รัชกาลที่ 7 ระยะเวลาครองราชย์    9 ปี
                    ตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2477
รัชกาลที่ 8 ระยะเวลาครองราชย์  12 ปี
                   ตั้งแต่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 - 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
รัชกาลที่ 9 ระยะเวลาครองราชย์  70 ปี
                   ตั้งแต่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
---------  ข้อมูล ดีๆ เข้าใจง่ายๆ อยากให้เก็บไว้อ่าน  ---------
กษัตริย์ไทย กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๙
รัชกาลที่ ๑ --- เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๒

รัชกาลที่ ๒ --- เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๓ และ ๔
รัชกาลที่ ๓ --- เป็นลูกรัชกาลที่ ๒ เป็นพี่ รัชกาลที่ ๔

รัชกาลที่ ๔ --- เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๕ เป็นน้อง รัชกาลที่ ๓ เป็นลูก รัชกาลที่ ๒
รัชกาลที่ ๔ ---  มี ๒ พระองค์. พระองค์แรกคือ. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนพระองค์ที่สอง คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครองราชย์พร้อมกันเพื่อเป็นการแก้ดวงชะตา
รัชกาลที่ ๕ --- เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๖ และ ๗
รัชกาลที่ ๕ --- เป็นปู่ รัชกาลที่ ๘ และ ๙
รัชกาลที่ ๖ --- เป็นพี่ รัชกาลที่ ๗
รัชกาลที่ ๖ --- เป็นลุง รัชกาลที่ ๘ และ ๙
รัชกาลที่ ๗ --- เป็นอา รัชกาลที่ ๘ และ ๙
แต่พ่อ ของรัชกาลที่ ๘ และ ๙ ไม่ได้ ขึ้นครองราชย์ เนื่องจาก เสียชีวิต ไปก่อนหน้านั้น
รัชกาลที่ ๘ --- เลยขึ้น เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ ในขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา   จึงต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนกว่าจะทรงบรรลุนิติภาวะ
รัชกาลที่ ๘ --- เป็น พี่รัชกาลที่ ๙
รัชกาลที่ ๙ --- เถลิงถวัลย์ ราชสมบัติ ต่อ จน ๗๐ ปี แห่งการครองราชย์ พระชนมายุ ๘๙ พรรษา
รัชกาลที่ ๙ --- เป็นพ่อ รัชกาลที่ ๑๐
#เก็บโพสนี้ไว้ในความทรงจำ
#ฉันเกิดในรัชกาลที่๙ราชวงศ์จักรี
#กษัตริย์ไทยกรุงรัตนโกสินทร์
Cr: FB.Phusit

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การสูญเสียพนักงานที่มีศักยภาพคือความเสียหายขององค์กร

การสูญเสียพนักงานที่มีศักยภาพคือความเสียหายขององค์กร

เพราะ การเข้ามาแทนที่ของพนักงานใหม่ย่อมเสียเวลาในเรื่องการปรับตัวความเข้าใจเกี่ยวกับงาน ซึ่งบางทีอาจทดแทนพนักงานคนเก่าไม่ได้เลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้น คุณจำเป็นต้องรู้ด่อนว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้พนักงานต้อง ลาออก แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุง พัฒนา องค์กร เพื่อให้พนักงานที่มีศักยภาพอยู่โยงกับองค์กรไปได้ยาวๆ

ดังนั้น เรามาดูกันว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พนักงานดีๆ ต้อง ลาออก จากองค์กร

1.ความสัมพันธ์กับหัวหน้า

พนักงานทุกคนย่อมมีความคาดหวัง อยากมีความสัมพันธ์ในการร่วมงานที่ดีกับหัวหน้า รวมถึงด้านการทำงานที่สามารถนำเอาไปใช้เป็นแบบอย่างได้ กลับกันหากเจอหัวหน้าที่ไม่มีความผู้นำ ไม่มีทักษะเรื่องการทำงานหรือการบริหาร มันก็จะเป็นการเสียเวลาหากคุณจะทำงานอยู่กับองค์กรนี้ต่อไป

2.ความไม่สมดุลระหว่างงานและการใช้ชีวิต

ความสมดุลของชีวิตการทำงานคือหนึ่งในเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไว้ เพราะหากชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันมีความสอดคล้องกันย่อมลคความเบื่อหน่ายที่มีต่องาน ,ลดความเครียด รวมถึงยังรักษาความท้าทายการทำงานให้มีต่อไป

3.ความเสมอภาค

แม้ว่าแต่ละองค์กรจะสร้างกระบวนการด้านความเสมอภาค เท่าเทียมกันขึ้นมา อย่างไรก็ตามการเลือกปฏิบัติก็ยังคงมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ซึ่งพนักงานทุกคนต้องการองค์กรที่มีความใจกว้าง ให้ความก้าวหน้ากับพวกเขาได้ โดยยึดหลักความยุติธรรม

4.งานหนักมากเกินไป

ไม่ใช่เรื่องแปลก หากพนักงานที่มีศักยภาพ จะสามารถทำงานจนมีผลลัพธ์ออกมาในทิศทางที่ดี พวกเขาอาจทำอะไรได้อย่างมากมายจนไม่มีคำว่า “บ่น” แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การทำงานมากเกินไปจะกลายเป็นปัญหาตามมา นำไปสู่การเอียนกับงาน และลาออกในที่สุด

5.เบื่อหน่ายและหมดความท้าทาย

ผู้บริหาร หรือหัวหน้างาน ควรมั่นใจอยู่เสมอว่าพนักงานภายในทีมไม่มีอาการเบื่อหรือมีความรู้สึกไม่ท้าทายกับการทำงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องไปมอบหมายงานให้พวกเขามากขึ้น เพื่อสร้างแรงกระตุ้นขึ้นมา  แต่คุณควรจะหาวิธีทำอย่างไรให้พนักงานมีส่วนร่วม ตื่นตัว และมีความท้าทายกับการทำงานอีกครั้ง โดยหลายบริษัทเลือกวิธีเปิดโอกาสให้พนักงานเสนอความคิดหรือไอเดียที่อยากจะให้เป็น

6.ไม่ได้รับการปกป้อง

เมื่อพนักงานถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องปัญหาส่วนตัว หรือประเด็นกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างงานควรจะแสดงความเอาใจใส่ โดยรับฟังและเสนอแนวคิดแก้ปัญหา

7.สภาพแวดล้อมการทำงานไม่เอื้ออำนวย

สภาพแวดล้อมการทำงานในที่นี้  คือ ความขัดแย้งระหว่างบุคคล ,เรื่องนินทา,การแข่งขัน หรือแม้แต่ความปลอดภัยของสถานที่ทำงาน ซึ่งผู้บริหารต้องตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ให้ความใส่ใจกับปัญหาการขัดแย้งที่มีภายในองค์กร ,รับฟังความคิดเห็นของพนักงาน และเมื่อรับฟังแล้วควรหาวิธีแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยดังกล่าวหรือโยกย้ายพนักงานไปยังแผนกอื่น

เรียบเรียงจาก : INC

7 ข้อปฎิบัติ ในการสร้าง “ภาวะผู้นำ” ให้กับตัวคุณเอง

7 ข้อปฎิบัติ ในการสร้าง “ภาวะผู้นำ” ให้กับตัวคุณเอง

ตุลาคม 9, 2017

คุณจะทำให้คนอื่นมองคุณในฐานะผู้นำและคนสำคัญของทีมได้อย่างไร? คุณจะทำอย่างไรให้ตัวเองโดดเด่นและประสบความสำเร็จในอาชีพได้มากกว่าคนอื่น?

เพียงคุณปฏิบัติตามคำแนะนำ 7 ข้อนี้ คุณก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้นำของตนเอง ให้โดดเด่นออกมาจากพนักงานคนอื่นๆ เพื่อจะก้าวขึ้นตำแหน่งผู้นำได้ในอนาคต

1. ฝึกทำงานกันเป็นทีม

จากการสำรวจของ The Center for Creative Leadership’s World Leadership Survey พบว่า องค์กรต่างๆ มักต้องการผู้นำที่สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี ซึ่งคุณสามารถพัฒนาคุณสมบัติในการเป็นผู้นำของตนเองได้โดยการพยายามช่วยเหลือทีมในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้เต็มที่ และสร้างความสามัคคีภายในทีมเข้าไว้นั่นเอง

2. ฝึกเป็น “ผู้นำ” ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม

การเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องอาศัยตำแหน่งมาการันตี สิ่งที่ยากที่สุดแต่ก็ทำให้คุณโดดเด่นขึ้นมาได้ คือ การนำทีม แม้ในงานที่ตนไม่ได้ถูกมอบหมายให้ดูแลโดยตรง ก็อาจช่วยทีมในการประสานงานให้ได้ดีขึ้น และพยายามทำงานที่ท้าทายความสามารถเข้าไว้ แล้วหัวหน้าทีมจะมองเห็นความสามารถของคุณเอง ซึ่งทำให้คุณมีโอกาสสูงมากที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำต่อจากพวกเขา

3. เชี่ยวชาญในงานของตน แต่ก็พร้อมเรียนรู้และฝึกฝนทักษะใหม่ๆ

ทำหน้าที่ของคุณให้ดีเพื่อให้หัวหน้างานเล็งเห็นว่าคุณมีศักยภาพมากพอ หลังจากนั้น ให้พัฒนาทักษะหรือรับงานใหม่ๆ เพิ่มเติมด้วย อย่าเกรงกลัวต่อความเปลี่ยนแปลงในการทำงาน ถ้าคุณแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองเต็มใจและเก่งพอที่จะทำงานในระดับสูงขึ้นไปได้ ทั้งยังกะตือรือล้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอด ไม่ว่าใครก็ต้องเล็งเห็นศักยภาพและนับถือในความสามารถของคุณอย่างแน่นอน

4. เปิดใจให้กว้าง รับฟังคำวิจารณ์ และเติบโตจากมัน

ขอคำวิจารณ์หรือคำแนะนำจากหัวหน้างานของคุณ มันอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า นอกจากคุณจะพอใจความสามารถของตนเองแล้ว คุณยังอยากก้าวหน้าในอาชีพอย่างจริงจัง และยินดีที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดด้วยเช่นกัน โดยเมื่อคุณถูกวิพากษ์วิจารณ์ จงรับฟังและขอให้หัวหน้างาน อธิบายถึงแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่าพวกเขาต้องการอะไรจากคุณ

5. พยายามเข้าใจความต้องการผู้อื่นอย่างแท้จริง

บรรดาผู้นำไฟแรงแตกต่างจากคนอื่นๆ เพราะพวกเขามองหาวิธีในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และวิธีการทำงานเสมอ โดยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทราบข้อมูลความต้องการของลูกค้า หาวิธีการประหยัดต้นทุน แต่ก็ต้องสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าไปพร้อมกัน ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้คุณถูกเล็งเห็นจากหัวหน้างานอาวุโสเพราะพวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากคุณเช่นกัน

6. ฝึกฝนการสื่อสารให้ดี

ผู้ที่จะเป็นผู้นำในอนาคตต้องฝึกปรือทักษะการพูดและเขียนให้ดี โดยต้องสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ ได้ว่าควรทำสิ่งใดและเพราะเหตุใด รวมถึงชี้ให้เห็นอุปสรรคปัญหาในการทำงาน พร้อมแนะนำวิธีรับมืออย่างถูกต้องและตรงไปตรงมา ไม่ใช่ใช้อารมณ์เป็นตัวนำ

7. ปฏิบัติและให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่ใช่ตนเอง

หัวหน้างานต้องการพนักงานที่ซื่อสัตย์ต่อเขาและทีมงาน เมื่อคุณอยากเสนอข้อโต้แย้ง จงพยายามให้มันออกมาในเชิงบวก อธิบายว่าสิ่งที่คุณเสนอมีประโยชน์ต่อองค์กรและลูกค้าอย่างไร เและต้องยกความดีความชอบให้ทั้งทีม แล้วคนอื่นก็จะเชื่อถือในตัวคุณเพราะพวกเขารู้ว่า คุณทำไปเพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่ใช่แค่ตัวคุณเอง

 

Source : Success

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

มองหาประสิทธิภาพการทำงานช่วงไหนดี

ไม่ว่าคุณจะมองหาข้อแนะนำที่เกี่ยวกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจากที่ไหน ส่วนใหญ่ก็มักจะแนะนำให้คุณตื่นเช้าขึ้นเพื่อทำกิจกรรมและอื่นๆ

Christoph Randler ศาสตราจารย์สาขาวิชาชีวิวิทยาที่ Heidelberg ประเทศเยอรมัน การวิจัยของเขาค้นพบว่าคนที่ตื่นเช้ามักจะมีความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย มากกว่าคนที่ตื่นสาย

ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจใหญ่ๆ มากมายในแวดวงการนั้น ดูเหมือนจะมีลักษณะนิสัยชื่นชอบทำอะไรก่อนคนอื่น ตัวอย่างเช่น Anna Wintour บรรณาธิการนิตยาสาร Vogue เธอมักจะตื่นเช้าประมาณตี 5 เพื่อเล่นเทนนิส อีกคนคือ Howard Schultz เขาตื่นนอนในทุกๆ เช้าเวลาประมาณตี 4.30 เพื่อมาชงกาแฟและนั่งอ่านหนังสือ และยังมี Tim Cook ที่เป็น CEO ของ Apple เขาตื่นประมาณตี 3.45 ทุกวันเพราะเขาคิดว่าการตื่นเช้านั้นเป็นหนทางหนึ่งของการประสบความสำเร็จ

อ่านจนมาถึงตรงนี้คุณอาจเกิดข้อสงสัยว่า การเป็นนกฮูกกลางคืนนั้นดีจริงหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้วการเป็นมนุษย์กลางคืนนั้นอาจจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านธุรกิจ

มีวิจัยด้านจิตวิทยาของ Catholic University of the Sacred Heart ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ได้เผยว่า “การอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่เป็นปกติจะช่วยส่งเสริมให้คนๆ นั้น มีแนวความคิดที่สร้างสรรค์ และกล้าที่จะออกนอกกรอบมากยิ่งขึ้น ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างทางเลือกต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น” จากข้อมูลนี้จึงสรุปได้ว่า ถ้าหากคุณหันมาชื่นชอบที่จะใช้ชีวิตช่วงกลางคืนล่ะก็ คุณอาจจะได้เพิ่มความสามารถในด้านการคิด วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้

นอกจากนั้นจำนวนเวลาในการทำงานของมนุษย์กลางคืนนั้นมีมากกว่าคนที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะเขาใช้เวลาทำงานทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนด้วย ในขณะที่คนตื่นเช้า เวลาในการทำงานมีแค่ช่วงกลางวันเท่านั้น จากการวิจัยของ University of Liege ในประเทศเบลเยียมพบว่า “คนตื่นเช้ามีพัฒนาการทางด้านความคิดอย่างรวดเร็วกว่าก็จริง แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางคืนนั้นจะมีความเสถียรภาพของการพัฒนาด้านความคิดและการแก้ไขปัญหาที่มากกว่า ซึ่งหมายความว่าพัฒนาการอย่างหลังนั้นสามารถส่งผลระยะยาวได้มากกว่านั่นเอง”

ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการไม่ชอบการตื่นเช้าอีกต่อไป จากบทความนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบการตื่นเช้าเพื่อมาทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หรือเลือกที่จะใช้ชีวิตในช่วงเวลาตอนกลางคืน คุณก็สามารถพัฒนาความคิด การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา และประสิทธิภาพการทำงานได้เช่นกัน

ตื่นเช้าหรือนอนดึก ก็ทำงานมีประสิทธิภาพ

ไม่ว่าคุณจะมองหาข้อแนะนำที่เกี่ยวกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจากที่ไหน ส่วนใหญ่ก็มักจะแนะนำให้คุณตื่นเช้าขึ้นเพื่อทำกิจกรรมและอื่นๆ

Christoph Randler ศาสตราจารย์สาขาวิชาชีวิวิทยาที่ Heidelberg ประเทศเยอรมัน การวิจัยของเขาค้นพบว่าคนที่ตื่นเช้ามักจะมีความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย มากกว่าคนที่ตื่นสาย

ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจใหญ่ๆ มากมายในแวดวงการนั้น ดูเหมือนจะมีลักษณะนิสัยชื่นชอบทำอะไรก่อนคนอื่น ตัวอย่างเช่น Anna Wintour บรรณาธิการนิตยาสาร Vogue เธอมักจะตื่นเช้าประมาณตี 5 เพื่อเล่นเทนนิส อีกคนคือ Howard Schultz เขาตื่นนอนในทุกๆ เช้าเวลาประมาณตี 4.30 เพื่อมาชงกาแฟและนั่งอ่านหนังสือ และยังมี Tim Cook ที่เป็น CEO ของ Apple เขาตื่นประมาณตี 3.45 ทุกวันเพราะเขาคิดว่าการตื่นเช้านั้นเป็นหนทางหนึ่งของการประสบความสำเร็จ

อ่านจนมาถึงตรงนี้คุณอาจเกิดข้อสงสัยว่า การเป็นนกฮูกกลางคืนนั้นดีจริงหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้วการเป็นมนุษย์กลางคืนนั้นอาจจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านธุรกิจ

มีวิจัยด้านจิตวิทยาของ Catholic University of the Sacred Heart ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ได้เผยว่า “การอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่เป็นปกติจะช่วยส่งเสริมให้คนๆ นั้น มีแนวความคิดที่สร้างสรรค์ และกล้าที่จะออกนอกกรอบมากยิ่งขึ้น ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างทางเลือกต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น” จากข้อมูลนี้จึงสรุปได้ว่า ถ้าหากคุณหันมาชื่นชอบที่จะใช้ชีวิตช่วงกลางคืนล่ะก็ คุณอาจจะได้เพิ่มความสามารถในด้านการคิด วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้

นอกจากนั้นจำนวนเวลาในการทำงานของมนุษย์กลางคืนนั้นมีมากกว่าคนที่ตื่นนอนตอนเช้า เพราะเขาใช้เวลาทำงานทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนด้วย ในขณะที่คนตื่นเช้า เวลาในการทำงานมีแค่ช่วงกลางวันเท่านั้น จากการวิจัยของ University of Liege ในประเทศเบลเยียมพบว่า “คนตื่นเช้ามีพัฒนาการทางด้านความคิดอย่างรวดเร็วกว่าก็จริง แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางคืนนั้นจะมีความเสถียรภาพของการพัฒนาด้านความคิดและการแก้ไขปัญหาที่มากกว่า ซึ่งหมายความว่าพัฒนาการอย่างหลังนั้นสามารถส่งผลระยะยาวได้มากกว่านั่นเอง”

ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการไม่ชอบการตื่นเช้าอีกต่อไป จากบทความนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบการตื่นเช้าเพื่อมาทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ หรือเลือกที่จะใช้ชีวิตในช่วงเวลาตอนกลางคืน คุณก็สามารถพัฒนาความคิด การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา และประสิทธิภาพการทำงานได้เช่นกัน

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

วัฒนธรรมร้ายในองค์กร

เมื่อยอดขายตกจนธุรกิจหยุดชะลอ สิ่งแรกที่ SMEs ให้ความสนใจมักเป็นเรื่องของการตรวจสอบบัญชีหรือการวัดคุณภาพสายผลิต แต่ถ้าเช็คแล้วทุกอย่างแล้วมันยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติล่ะ?

คุณอาจจะแก้โดยให้เซลล์เพิ่มยอดขาย, มองหาลูกค้าใหม่, หาทางเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น, กระตุ้นพนักงานให้ทุ่มเทกับงาน, รวมถึงลดค่าคอร์สต่างๆในบริษัท

ซึ่งบางเหตุผลมันอาจไม่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่เพราะมันถึงเวลาแล้วที่คุณควรหันมามองการบริหารงาน วัฒนธรรมความคิดและการทำงานของคน ลองมาดูกันว่าในบริษัทของคุณมีคนลักษณะแบบนี้อยู่เยอะจนเกิดเป็นวัฒนธรรมร้ายในองค์กรหรือเปล่า

1.องค์กรอีโก้สูง พวกฉันเก่ง ฉันเจ๋งฉันแน่ ฉันรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง

แน่นอนว่าในที่ทำงานทุกคนก็ต่างต้องหาคำตอบมา Defend ในทุกปัญหา ทุกคนต่างมั่นใจในศักยภาพและสามารถวิจารณ์กันได้ มันไม่ผิดที่เจ้านายจะวิจารณ์ลูกน้องหรือแม้แต่ลูกน้องจะวิจารณ์เจ้านาย แต่การรู้ไปหมดทุกเรื่องทุกคนสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องในแผนการทำงาน ความมั่นใจสูงทำให้งานเดินช้า

น่าจะดีกว่าถ้าทุกคนในองค์กรหันหน้าเข้าหากันและทำให้งานมันง่ายโดยปราศจากปัญหา เปลี่ยนจากการรู้ไปทุกเรื่องมาเป็นรู้บ้างแต่ใฝ่รู้ ใฝ่พัฒนาขึ้นไปอีก ขจัดอีโก้ทิ้งไปเพื่อเป็นเกมส์การทำงานที่สนุกมีประสิทธิภาพและเพื่อองค์กรที่แข็งแกร่ง

2.องค์กรที่ขาดการสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงาน

สิ่งนี้คือความผิดร้ายแรงที่สุดขององค์กร คุณไม่ควรปล่อยให้เกิดความคิดแบบนี้ เพราะธุรกิจคุณจะไม่มีทางโตขึ้นได้เลยเมื่อพนักงานทำเพียงเพื่อหน้าที่และเงินค่าแรงที่เขาได้รับจากการคำนวณต่อวัน หากมีงานเพิ่มขึ้น พวกเขาจะไม่สนใจปัญหาหรืออาจมองหาทางลัดเพื่อให้งานเสร็จไปวันๆ

ทุกคนต่างดูออกเมื่อพนักงานใช้ทางลัดเพื่อให้ได้งานแบบลวกๆมา ในฐานะผู้นำที่ดี คุณควรศึกษาว่าอะไรคือสิ่งจูงใจ ที่สามารถช่วยกระตุ้นพวกเขา ซึ่งความคาดหวังของแต่ละคนล้วนต่างกัน หาให้เจอว่าอะไรที่จะสามารถขับเคลื่อนพวกเขา เพื่อนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ

3.องค์กรที่ต่างคนต่างทำงาน ไม่ค่อยปรึกษาหรือแลกเปลี่ยนไอเดียกัน

เพราะบริษัทสามารถขับเคลื่อนไปด้วยการรวบรวมความคิด ทุกคนล้วนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการนำเอาข้อดีของแต่ละคนมาแชร์ จึงเกิดเป็นการต่อยอดไอเดียใหม่ๆ ถ้าองค์กรไหนไม่มีภาพของการทำงานที่สนุกไม่มีความสุขที่ได้อยู่องค์กรนี้ พนักงานก็คงแค่มาทำหน้าที่ให้จบไปวันๆแล้วค่อยมองหาที่ใหม่ ซึ่งมันไม่ได้สรรสร้างอะไรดีๆให้กับองค์กรเพิ่มขึ้นมาเลย

การที่พนักงานจะสนใจแต่งานตัวเองนั่นหมายความว่าพวกเขากำลังอยู่ใน Comfort Zone ซึ่งองค์กรคุณอาจมีปัญหา เช่น หัวหน้างาน, ผู้จัดการ, ผู้บริหารไม่เปิดรับไอเดียจากลูกน้องหรือเพราะกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติมากมาย จึงทำให้พนักงานต้องเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้ผู้นำต้องทำคือช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันและเปิดมุมมองการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม สู่การพัฒนาอย่างสร้างสรรค์

4.องค์กรจอมComplain ขี้บ่นและติไปซะทุกเรื่อง

พวกขี้บ่นส่วนใหญ่มักจะชอบติพูดถึงจุดบกพร่องของเพื่อนร่วมงานรวมไปถึงเจ้านาย มักพูดแต่ในสิ่งที่ตนเองชอบหรือความคาดหวังที่อยากให้เป็น ยิ่งถ้าบ่นในบริษัทมันก็จะไปบั่นทอนถึงกำลังใจการทำงานของเพื่อนร่วมงานและไปกระทบต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัทคุณอย่างไม่ต้องสงสัย

หากนำเอาข้อบกพร่องที่ไม่ชอบในบริษัทมาวิจารณ์อย่างดุเดือดเปิดเผย จนทำให้พนักงานมองว่ามันเป็นเรื่องปกติขององค์กรนี้ ไม่นานองค์กรก็จะกลายเป็นสถานที่ทำงานอันน่ากลัวและหดหู่ที่สุด

5.องค์กรที่ไม่เสมอต้นเสมอปลาย ชอบลื่นไหลหรือโกหกเพื่อเอาตัวรอด

หัวใจของการเติบโตทางธุรกิจคือการรักษาลูกค้าสร้างความไว้วางใจจากพวกเขา เมื่อลูกค้าสัมผัสถึงความจริงใจได้แล้วเขาก็จะส่งต่อสินค้าคุณไปยังคนอื่นๆ ดังนั้นพนักงานต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย มีTime Line การส่งมอบงานที่ชัดเจน ที่สำคัญต้องไม่อวดอ้างสินค้าเกินจริงด้วย

ปัญหาใหญ่ที่สุดของข้อนี้คือเมื่อคุณโกหกลูกค้าจะไม่ลังเลเลยที่จะตำหนิสินค้าคุณให้คนอื่นๆฟัง ความซื่อสัตย์จึงเป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร เพราะเมื่อไหร่ที่คุณได้ยินลูกค้าพูดถึงพนักงานในแง่ลบนั่นหมายความว่าชื่อเสียงบริษัทคุณค่อยๆเสียหายแล้ว “สำหรับประเด็นนี้หากเป็นการโกหกและไม่จริงใจกันทั้งในองค์กร คงไม่ต้องอธิบายว่ามันจะแย่แค่ไหน”